เลขา ป.ป.ช.ยันคนตื่นตัว ร้องเรื่องโกงพุ่ง 3 เท่า เซฟเงินรัฐได้กว่า 3 แสนล.บาท
เลขา ป.ป.ช.ยันคนตื่นตัวทำยอดร้องเรียนเรื่องโกงเพียบ เผยแค่ปี 66 ยอดพุ่ง 3 เท่า ลั่นไม่รอวัวหายล้อมคอก เซฟเงินรัฐได้กว่า 3 แสนล้านบาท หวังเห็นความร่วมมือทุกฝ่ายปรับมายด์เซ็ต ไม่ยอมรับคนทุจริตลอยหน้าลอยตา
เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดกิจงานประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และพิธีมอบรางวัล ITA AWARDS 2024 (ITA DAY 2024 : Transparency with Quality) โดยนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวตอนหนึ่งว่า ป.ป.ช.ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เมื่อมีเรื่องร้องเรียนเข้ามายังป.ป.ช. ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งคนที่มาร้องเรียนแต่พอเรียกมาให้ข้อมูลก็ไม่มา หรือไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมอะไรให้ เพราะผู้ร้องมองว่า เป็นหน้าที่ของป.ป.ช.ที่ต้องไปสอบสวนหาข้อเท็จจริง การตรวจสอบอาจจะยาก แต่ป.ป.ช.ต้องข้อเท็จจริงทุกเรื่องที่ร้องเข้ามาว่ามีมูล มีพยานหลักฐานหรือไม่ หากมีมูลก็จะรับไว้พิจารณาต่อไป
“ที่ผ่านมาเราจะมีการวิเคราะห์ข้อมูลว่าหน่วยงานไหนถูกร้องเรยนมากที่สุด ร้องเรียนเรื่องอะไร ซึ่งจะพบว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ตำรวจ จะถูกร้องเรียนเยอะ แต่ไม่ได้หมายความว่ามีการทุจริตเยอะ เพราะการถูกร้องเรียนเยอะเป็นเพราะเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจ มีกฎหมาย ทำงานใกล้ชิดกับประชาชนมากเลยมีรื่องร้องเรียนสูง แต่ไม่ได้หมายความว่าผิด” นายนิวัติไชย กล่าว
นายนิวัติไชย กล่าวว่า การตรวจสอบป้องกันของป.ป.ช.นั้น ไม่สามารถบอกเป็นตัวเลขได้ว่าสามารถระงับความเสียหายของการทุจริตไปได้เท่าไหร่ เพราะแต่ละโครงการจะมีการตั้งงบฯ และมีการทุจริตที่อาจจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะไปคิดตรงนั้นหลังป.ป.ช.ชี้มูลความผิด แต่สำหรับป.ป.ช. เราดูแค่งบประมาณตั้งต้นสำหรับโครงการนั้นๆ อย่างที่ร้องเซึ่งรวมๆ แล้วมูลค่าโครงการของเรื่องที่ร้องเรียนเข้ามา แล้วป.ป.ช.มีการดำเนินการไปก็ราว 3 แสนล้านบาท และไม่อาจบอกได้ว่า การทุจริตลดลงหรือไม่ อย่างที่มีร้องเข้ามากว่า 9 พันเรื่องนี้ เราต้องไปดูด้วยว่า เรื่องร้องเรียนเหตุการณ์ของปีไหน รัฐบาลไหน แต่แนวโน้มการร้องเรียนในปีปัจุบันเพิ่มมากขึ้น สะท้อนว่าคนกล้าร้องเรียนมากขึ้น ไม่ได้รอให้เกิดความเสียหาย นอกจากนี้ป.ป.ช.ยังมีการตั้งศูนย์ CDC เพื่อตรวจสอบตรวจสอบป้องกันก่อนจะเกิดการทุจริตคอรัปชั่นด้วย ซึ่งตรวจสอบไปกว่า 1 พันเรื่อง รวมมูลค่าโครงการกว่า 1 แสนล้านบาท ที่เรายับยั้งได้ก่อนทุจริต บางโรงการฝืนทำต่อแต่น้อยและมีการปรับเปลี่ยนกาดำเนินการของเขา แต่ถ้าใครไม่ปรับและฝืนดำเนินการ ก็จะเข้าสู่กระบวนการสอบสวน ไต่สวน ที่สำคัญปีนี้รัฐบาลสนับสนุนเจ้าหน้าที่การข่าว และเจ้าหน้าที่ป้องกัน เป็นร้อยคน
นายนิวัติไชย กล่าวอีกว่า สำหรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐปีนี้จะเห็นว่าแต่ละหน่วยงานมีคะแนนสูงขึ้นประมาณ 91% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 87% อย่างไรก็ตาม แม้เปอร์เซ็นต์เพิ่มสูงขึ้น แต่ยุทธศาสตร์กำหนดไว้ที่ 100% ดังนั้นยังต้องทำงานกันมากขึ้น ล่าสุด ป.ป.ช.อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อหารูปแบบการประเมินค่า IPA ใหม่ โดยแยกหน่วยงานยุติธรรม เช่น ศาล ทหาร ตำรวจ กับอีกกลุ่มคือหน่วยงานด้านบริการ เพราะการประเมินโดยใช้ IPA ตัวเดียวประเมินรวมทุกหน่วยงานอาจจะสร้างการได้เปรียบเสียเปรียบกันได้ โดยคาดว่า ตัวประเมินใหม่นี้จะสามารถใช้ได้ในปีหน้า
“เรื่องการทุจริตนี้ ต้องมีการปรับมายเซ็ต คนเราบางครั้งยอมรับทุจริตเพื่อให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์บาง หากยังมีความคิดนี้อยู่ ประเทศชาติก็ไปไหนไม่ได้ การทุจริต คอรัปชั่นจะกลายเป็นการยอมรับ ทั้งๆ ที่เราต้องไม่ยอมรับ ไม่เพิกเฉย ต้องมาชี้ช่องเบาะแส ออกมาต่อต้าน รณรงค์ หากคนทุจริตยังลอยหน้าลอยตาในสังคม มีคนยกมือไหว้อยู่แบบนี้ไม่ได้ ต้องปรับมายเซ็ต ต้องปลูกฝังเยาวชน ซึ่งเรามีหลักสูตรต้านทุจริต ที่ครม.เห็นชอบใหเใช้ในสถานศึกษา รวมทั้งภาคประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งสำนักงานสถิติได้ทำตัวชี้วัดออกมาพบว่าเยาวชนมีความรู้เพิ่ม 90% มีพฤติกรรมดีขึ้น แยกแยะประโยชน์ส่วนร่วม กับประโยชน์ส่วนตัวได้” นายนิวัติไชย กล่าว
เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า การทำงานของป.ป.ช.ที่ผ่านมา มีความกดดันเพราะประชาชนคาดหวังสูง อยากเห็นเรื่องราวคลี่คลายเร็ว อยากเห็นการชี้ไปทางนั้น ไปทางนี้ แต่ในการทำงานไม่ใช่อย่างนั้น เพราะทุกอย่างอยู่ที่พยานหลักฐาน ที่สำคัญเรื่องทุจริต เป็นเรื่องของประเทศ ไม่ใช่ป.ป.ช.อย่างเดียว จึงต้องได้รับความร่วมมือจากเครือข่าย หน่วยงานรัฐ เอกชน ประชาชน แต่ที่ผ่านมา พอตัวชี้วัดการทุจริตของประเทศตกลง คนก็จะโทษป.ป.ช.ว่าทำงานไม่ดี แต่ทั้งที่จริงแล้วป.ป.ช.ไม่ใช่คนทำทุจริต แต่ปัญหาเกิดจากหน่วยงานภายนอก หรือเอกชนที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐทำความผิด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเราปฏิเสธไม่ได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายบอกว่าเป็นหน้าที่และอำนาจของป.ป.ช.ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต นี่คือความคาดหวังของสังคม แต่ป.ป.ช.ก็คาดหวังความร่วมมือจากทุกฝ่ายเช่นกัน เพื่อให้ประเทศปลอดทุจริตไปพร้อมๆ กัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้าย พิธีกรบนเวทีได้กรสรุป มีการแจ้งเบาะแสเข้ามายังสำนักงาน ป.ป.ช.ในปี 2566 จำนวน 245 เพิ่มจากปี 2565 ถึง 3 เท่าตัว