Pattern of action ฆ่า 'ลิม กิมยา' อย่ารีบตัดจบ !

Pattern of action  ฆ่า 'ลิม กิมยา' อย่ารีบตัดจบ !

ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นอาชญากรรมธรรมดา หรือเกี่ยวพันกับการล่าสังหารข้ามชาติ ก็สมควรอย่างยิ่ง ที่ฝ่ายความมั่นคงต้องไม่ตัดจบง่ายๆ อย่าให้ทั้งโลกมองไทย ว่าเป็นดินแดนอันตราย ตายได้ทุกเมื่อ และกลายเป็นฮับของอาชญากรรมอันดับต้นๆ ของโลก!

KEY

POINTS

  • คดียิง นายลิม กิมยา นักการเมืองกัมพูชา อดีต สส.ฝ่ายค้านเบอร์ใหญ่ รองจาก สม รังสี และยืนอยู่ตรงกันข้ามกับ “ระบอบฮุนเซน” กำลังจะจบลงอย่างงดงาม สมประโยชน์ทั้งไทยและกัมพูชา!
  • ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นอาชญากรรมธรรมดา หรือเกี่ยวพันกับการล่าสังหารข้ามชาติ ก็สมควรอย่างยิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงต้องไม่ตัดจบง่ายๆ ต้องยื่นมือเข้ามาร่วมในกระบวนการสอบสวน 
  • หากเกี่ยวพันกับประเด็นขัดแย้งทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน เท่ากับละเมิดอธิปไตยไทยด้วยหรือไม่ ภาพลักษณ์ประเทศไทยเสียหาย เพราะถูกใช้เป็นพื้นที่ล้างแค้น ล่าสังหาร 
  • อย่าให้ทั้งโลกมองไทย ว่าเป็นดินแดนอันตราย ตายได้ทุกเมื่อ และกลายเป็นฮับของอาชญากรรมอันดับต้นๆ ของโลก!

คดียิงนักการเมืองกัมพูชา ซึ่งเป็นอดีต สส.ฝ่ายค้านเบอร์ใหญ่ เบอร์รองจาก สม รังสี และยืนอยู่ตรงกันข้ามกับ “ระบอบฮุนเซน” กำลังจะจบลงอย่างงดงาม สมประโยชน์ทั้งไทยและกัมพูชา!

ก่อนอื่นต้องชื่นชมตำรวจไทยว่าทำงานเร็ว จับกุมได้เร็ว ตัดวงจรข่าวร้ายไม่ให้ขยายวงกว้างได้อย่างว่องไว และก็ต้องขอบคุณทางการกัมพูชาที่ส่งตัว “จ่าเอ็ม” มือปืนให้กับทางการไทย ให้รับตัวมาดำเนินคดีต่อ

ฝ่ายไทยได้เวลา “จบข่าว” ที่วิจารณ์กล่าวหาว่าเมืองไทยเป็นแดนไล่ล่าสังหาร เพราะมือปืนยืนยันว่าแค่ว่าจ้างมา รับงานเพราะตอบแทนบุญคุณ

และเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวพัน หรือตอกย้ำอะไรกับเหตุการณ์ดาราจีน “ซิง ซิง” ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ หลอกไปทำงานกึ่งค้ามนุษย์ชโวก๊กโก ฝั่งเมียวดี เมียนมา ซึ่งเคสนั้นไทยก็เป็นแค่ทางผ่าน ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ แล้วจะกล่าวหาว่าไทยเป็น“ฮับของอาชญากรรมข้ามชาติ”ได้อย่างไร

ฉะนั้นไทยจึงยังเป็น “สยามเมืองยิ้ม” น่าท่องเที่ยวอยู่เช่นเดิม 

ส่วนกัมพูชาก็ได้ประโยชน์ เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง แค่ขัดแย้งกันส่วนตัวจากเรื่องหนี้สิน จึงมีการจ้างวานสังหารกัน ไม่ใช่ปมกำจัดศัตรูทางการเมือง และไม่ใช่การยืมพื้นที่ประเทศอื่นสังหารอริของตน

ถึงนาทีนี้คดีกำลังจะจบลง ตำรวจได้ผลงาน จ่าเอ็มก็ปิดปากลูกเดียว ถ้าไม่พยายามทำอะไรต่อ เรื่องก็จะค่อยๆ เงียบหายไป แต่คุณผู้อ่านลองคิดเล่นๆ อีกมุมหนึ่ง เหมือนกับที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านงานความมั่นคงระดับชาติ ฝากเตือนผมมา

1. เราไม่ควรรีบตัดจบว่าคดีนี้เป็นอาชญากรรมธรรมดา แค่จ้างวานฆ่า ไม่มีเบื้องหลัง

2. ฝ่ายความมั่นคงต้องยื่นมือเข้ามาร่วมในกระบวนการสอบสวน เพราะหากเกี่ยวพันกับประเด็นขัดแย้งทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน จะยิ่งเป็นเรื่องอ่อนไหว 

- เท่ากับละเมิดอธิปไตยไทยด้วยหรือไม่ 

- ภาพลักษณ์ประเทศไทยเสียหาย เพราะถูกใช้เป็นพื้นที่ล้างแค้น ล่าสังหาร 

สำหรับในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้จะไม่มีปัญหาใดๆ เพราะห้วงเวลานี้หวานชื่นกันสุดขีด เนื่องจากสองตระกูลผู้ครองอำนาจทางการเมืองของทั้งสองประเทศ รักกันอย่างดูดดื่มก็ตาม แต่ประเด็นทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะของประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดกัน ต้องคำนึงถึงวันข้างหน้าด้วย 

เพราะสองตระกูลนี้คงไม่ได้ผูกขาดอำนาจอย่างสถาพร ชั่วฟ้าดินสลาย

3. ฝ่ายความมั่นคงต้องทบทวนมาตรการติดตาม/เฝ้าระวังบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ หรือประเทศเพื่อนบ้าน

และข้อ 4. สำคัญที่สุด คือ ลักษณะการก่อเหตุ ส่งผลสะเทือนด้านอื่นๆ นอกเหนือจากความมั่นคง เนื่องจากเกิดขึ้นกลางกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย กระทบภาพลักษณ์รุนแรง เหตุเกิดตอนกลางวันแสกๆ ใกล้วัดดัง ตลาดเก่าแก่ ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวสำคัญ กระทบการท่องเที่ยวแน่นอน

ผมพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญงานความมั่นคงหลายท่าน ทุกท่านห่วงใยสถานการณ์ และเห็นตรงกันว่า

ไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป เพราะหากมีเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับการล้างแค้นทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้านจริง ย่อมเป็นเรื่องใหญ่

หรือแม้ว่าจะเป็นการจ้างวานฆ่ากันธรรมดา ก็ต้องสรุปบทเรียน หรือ Lesson learn ให้ได้ เพราะเหตุเกิดอย่างง่ายดายในสถานที่ท่องเที่ยวใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยกำลังต้องการรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งกลายเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจชาติไปแล้ว

ผู้เชี่ยวชาญ ฟันธงว่า ในสายตาของคนที่ทำงานด้านการข่าวและความมั่นคง รู้ดีว่าเหตุการณ์นี้มีเบื้องหลังแน่นอน

ไม่ใช่การจ้างวานฆ่ากันธรรมดา พร้อมทั้งแนะให้สังคมช่วยกันติดตาม เพราะน่าจะมี “สิ่งบอกเหตุ” บางอย่างที่กลายเป็น “ข้อบ่งชี้” ว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลัง

เช่น จับตาดูว่าจะมีการสร้างเรื่องเหมือน “พล็อตหนังเรื่องใหม่” ขึ้นมาหรือไม่ เช่น อ้างว่ามีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ จนนำมาสู่การจ้างวานฆ่า หรืออ้างความเกี่ยวโยงกับอาชญากรข้ามชาติ หรือสร้างเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ในกัมพูชา แล้วอ้างเป็นเหตุให้มีการจ้างวานฆ่าในไทย (ข้อสันนิษฐานนี้ ผู้เชี่ยวชาญพูดเอาไว้ตั้งแต่หลังเกิดเหตุใหม่ๆ ก่อนจะมีการส่งตัวจ่าเอ็มกลับไทย)

อีกประเด็นที่ต้องจับคือ ความพยายามตัดจบที่ “จ่าเอ็ม” โดยสรุปว่าเป็นการจ้างวานฆ่าธรรมดา ไม่มีเบื้้องหลัง และจับผู้เกี่ยวข้องคนอื่นๆ ไม่ได้อีกเลย ทั้งๆ ที่พิจารณาจากรูปแบบการสังหาร และการลงมือของ “จ่าเอ็ม” ค่อนข้างชัดเจนว่า มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี และเป็นการทำงานของกลุ่มคนที่มีความรู้ หรือเชี่ยวชาญงานความมั่นคง ไม่ใช่อาชญากรรมปกติ

- น่าจะมีการติดตาม และสะกดรอยอดีต สส.รายนี้มานานพอสมควร 

- มีข้อมูลในสิ่งที่เรียกว่า Pattern of action หรือรูปแบบการกระทำ ทั้งการเดินทาง การใช้ชีวิต การกินอาหาร การท่องเที่ยว การทำงาน ฯลฯ กระทั่งสามารถนำมากำหนดแผนสังหาร และเลือกสถานที่สังหารได้

- การจ้างวานเป็นแค่ “วิธีการ” เพื่อตัดตอนกลุ่มผู้สั่งการ

- การเลือกพื้นที่นอกประเทศ ก็เป็น “วิธีการ” เพื่อตัดตอนไม่ให้เชื่อมโยงไปถึงคนหรือประเด็นการเมือง

- การทำงานของ “จ่าเอ็ม” ราบรื่น ใช้เวลาไม่นาน และแทบไม่มีความยากหรืออุปสรรคใดๆ เนื่องจากวางแผนและกำหนดขั้นตอนมาเป็นอย่างดี

- ทันทีที่ลงมือปฏิบัติการ “คนชี้เป้า”หลบหนีออกนอกประเทศทันที แสดงว่ามั่นใจในแผนการที่วางไว้ และรับประกันผลได้ล่วงหน้า

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ทีมที่ทำแบบนี้ได้ ต้องเป็นทีมใหญ่ มีกันหลายคน พูดง่ายๆ คือ ถ้าเป็นความจริงก็แปลว่ามี “หน่วยจารกรรม” ของประเทศอื่นมาปฏิบัติการในไทยอย่างโจ๋งครึ่ม ยาวนาน และต่อเนื่อง

ถ้าฝ่ายไทยไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ ก็แปลว่ามีช่องโหว่ค่อนข้างมาก ที่งานความมั่นคงต้องทบทวน โดยเฉพาะการเดินทางเข้า-ออกอย่างง่ายดาย และการหลบหนีของผู้กระทำผิดยังใช้ช่องทางธรรมชาติได้ง่ายมาก และหลบหนีสำเร็จด้วย

จริงๆ ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า กัมพูชาอาจดำเนินคดี “จ่าเอ็ม” ฐานหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายก่อน ยังไม่ส่งตัวให้ไทยทันที เพื่อรอให้ข่าวซา ให้คนทั้งสองประเทศสนใจเรื่องนี้น้อยลงก่อน 

และยังแนะให้จับตาดูว่า “จ่าเอ็ม” จะมีชะตากรรมอย่างไรในเรือนจำ หากถูกทำร้าย หรือตายในคุก จะอนุมานได้หรือไม่ว่าถูกปิดปาก

ข้อสันนิษฐานนี้ประเด็นแรกไม่เกิดขึ้นแล้ว เพราะกัมพูชาส่งตัวให้ไทยแล้ว แต่ประเด็นหลังยังมีโอกาส ต้องติดตามต่อไปในขั้นตอนฝากขังในเรือนจำ

จะว่าไป การที่กัมพูชายอมส่งตัวมือปืนให้ทางการไทยอย่างง่ายดาย รวดเร็ว มองเป็นความสำเร็จ และความสัมพันธ์ที่ดีก็ได้ หรือจะมองว่าเป็นความแปลกประหลาดก็ได้

ลองคิดง่ายๆ หากมีนักการเมืองไทยถูกยิงในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วมือปืนหนีมาฝั่งไทย ฝ่ายไทยจับกุมได้ จะรีบส่งกลับ หรือเอาตัวไว้สอบสวนเพื่อหาเครือข่ายร่วมขบวนการ และคนอยู่เบื้องหลังที่สังหารนักการเมืองไทย เพราะเหยื่อที่ตายคือคนไทย

เช่นเดียวกัน กัมพูชาก็น่าจะคิดแบบนั้น เพราะ นายลิม กิมยา ผู้ตาย คือคนกัมพูชา เป็นนักการเมืองดัง แทนที่จะเอาตัวไว้สอบเค้นเพื่อหาเบื้องหลังการจ้างวาน กลับรีบส่งมาให้ไทยดำเนินคดี

ทั้งหมดแปลว่าตัดตอน คัตเอาต์เรียบร้อยทุกขั้นตอนแล้วหรือไม่ ถึงส่งตัวกลับมา ไม่ได้ตัวคนในขบวนการคนอื่น คดีนี้ก็จะจบอย่างเป็นปริศนา รื้อฟื้นขุดคุ้ยอะไรไม่ได้อีก 

เหลือแต่ชีวิตของ “จ่าเอ็ม” ที่น่าจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย

ฉะนั้น ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นอาชญากรรมธรรมดา หรือเกี่ยวพันกับการล่าสังหารข้ามชาติ ก็สมควรอย่างยิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงต้องไม่ตัดจบง่ายๆ เหมือนไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะการปล่อยให้นักท่องเที่ยวคนหนึ่งถูกตามฆ่าอย่างง่ายดาย เหมือนจะยิงใคร ตรงไหนก็ได้ สมควรต้องสรุปบทเรียนให้สะเด็ดน้ำว่า เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

อย่าให้ทั้งโลกมองไทย ว่าเป็นดินแดนอันตราย ตายได้ทุกเมื่อ และกลายเป็นฮับของอาชญากรรมอันดับต้นๆ ของโลก!