อีกคดี! ปปช.เชือด 'สุเทพ' ทุจริตสร้างแฟลตตำรวจ 3.9 พันล้าน
ป.ป.ช.เชือด “สุเทพ เทือกสุบรรณ” และพวกทุจริตสร้างแฟลตตำรวจ เสียหาย 3.9 พันล้านบาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดํารงตําแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี กับพวก ทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) จํานวน 163 หลัง เป็นเหตุให้ สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้รับความเสียหายเป็นเงิน จํานวน 3,994 ล้านบาท นอกจากนั้น ปรากฏมี เจ้าหน้าที่ของรัฐเรียกรับเงินจากผู้รับจ้าง เป็นเงินจํานวน 91,678,000 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เรื่องนี้ มีผู้กล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก ว่า อนุมัติให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) จํานวน 163 หลัง จากเดิมจัดจ้างแบบรวมการที่ส่วนกลางโดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1 – 9) จํานวนหลายสัญญา เป็น รวมการจัดจ้างก่อสร้างที่ส่วนกลางในครั้งเดียวและเป็นสัญญาเดียวโดยไม่เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเกี่ยวกับการ เปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างเสียก่อน โดยรู้อยู่แล้วว่าแนวทางที่อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงดังกล่าวการก่อสร้างจะ ไม่แล้วเสร็จ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคําสั่งที่ 225/2556 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการไต่สวนเรื่องกล่าวหาดังกล่าว โดยมีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน และต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคําสั่งที่ 573/2560 ลงวันที่ 4 เมษายน 2560 ปรับเปลี่ยนรูปแบบการไต่สวน จากการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เป็นให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะในการไต่สวน ข้อเท็จจริง โดยมีนายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร และนางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบ สํานวน (ต่อมาภายหลังนางสาวสุภา ปิยะจิตติ ได้ถอนตัวจากการเป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสํานวน รวมทั้งการ พิจารณา) คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะองค์คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริง ได้ดําเนินการไต่สวนรวบรวม พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องจนเสร็จสิ้นแล้ว สรุปผลการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ ดังนี้
โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) จํานวน 163 หลัง ดังกล่าวข้างต้น สํานักงานตํารวจ แห่งชาติได้แต่งตั้งคณะทํางานร่วมกับหน่วยงานภายนอก ศึกษาและพิจารณาแนวทางการจัดจ้างเพื่อให้การ ก่อสร้างแล้วเสร็จและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ ซึ่งได้ข้อสรุปว่าวิธีการที่เหมาะสมจะต้องให้สํานักงาน ตํารวจแห่งชาติเป็นผู้ดําเนินการเอง โดยวิธีจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี และกระจายการจัดซื้อจัดจ้างไป ตามตํารวจภูธรภาค หรือตํารวจภูธรจังหวัด การดําเนินโครงการจึงจะแล้วเสร็จ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ จึงเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อดําเนินการจัดจ้างตามแนวทางที่คณะทํางานดังกล่าวเสนอ ผ่านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับ ดูแล สํานักงานตํารวจแห่งชาติ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พิจารณาแล้ว เห็นชอบและอนุมัติให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2552 ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการ ประชุมครั้งที่ 7/2552 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 พิจารณาแล้วมีมติ อนุมัติหลักการตามที่สํานักงานตํารวจ แห่งชาติเสนอ และให้ดําเนินการตามความเห็นของสํานักงบประมาณ ซึ่งกรณีดังกล่าวสํานักงบประมาณเห็นด้วย กับแนวทางที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติเสนอ และมีความเห็นโดยให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติดําเนินการก่อสร้าง ตามความจําเป็นเร่งด่วน จากนั้นสํานักงานตํารวจแห่งชาติจึงเสนอขออนมัติจัดจ้างเป็นรายภาค 9 ภาค (ภาค 1 - 9) ต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตามแนวทางที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยอนุมัติให้ดําเนิน โครงการก่อสร้างอาคารที่ทําการสถานีตํารวจ (ทดแทน) มาก่อนแล้ว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณาแล้วได้มีบันทึกลงวันที่ 26 สิงหาคม 2552 เห็นชอบและให้ดําเนินการตามที่ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติเสนอ
ต่อมาพลตํารวจเอก ปทีป ตันประเสริฐ จเรตํารวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการ ตํารวจแห่งชาติ ได้มีบันทึกลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 ถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดจ้างจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแนวทางการจัดจ้างโดยให้กระจาย การจัดซื้อจัดจ้างไปตามตํารวจภูธรภาค หรือตํารวจภูธรจังหวัด เปลี่ยนเป็นโดยกองโยธาธิการ สํานักงานส่งกําลัง บํารุง เป็นหน่วยงานจัดจ้างก่อสร้างทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียว โดยอ้างว่าเพื่อให้ถูกต้องตามระเบียบ สํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 และไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณาแล้วได้อนุมัติให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดจ้าง โดยไม่ นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงเสียก่อน อันเป็นการอนุมัติโดยไม่มีอํานาจ โดยรู้อยู่แล้วว่าแนวทางที่ตนอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงดังกล่าวการก่อสร้างจะไม่แล้วเสร็จ
ต่อมาสํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ดําเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) จํานวน 163 หลัง ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในวงเงิน 3,709,880,000 บาท ตามประกาศสํานักงาน ตํารวจแห่งชาติ ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2552 ซึ่งตามประกาศประกวดราคาดังกล่าวแบบรูปรายการละเอียดกําหนด ขนาดความยาวเสาเข็มตอกไว้ที่ 21 เมตร ต่อต้น ผู้เสนอราคาจะต้องยื่นข้อเสนอให้ถูกต้องตามแบบรูปรายการ ดังกล่าว และเมื่อสิ้นสุดการประกวดราคาผู้ชนะการประกวดราคาจะต้องจัดทําบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา (BOQ) ตามที่ได้ยืนราคาครั้งสุดท้ายส่งให้คณะกรรมการประกวดราคาภายใน 3 วัน ปรากฏว่าการประกวดราคา ดังกล่าว บริษัท พีซีซี ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด ซึ่งเข้าร่วมเสนอราคาครั้งนี้ด้วย ได้เสนอขนาด ความยาวของเสาเข็มตอกที่ความยาวเพียง 8 เมตร ต่อต้น ซึ่งไม่ถูกต้องตามแบบรูปรายการละเอียดที่กําหนด
ความยาว จํานวน 21 เมตร ต่อต้น จึงเป็นการยื่นเสนอราคาโดยไม่ถูกต้องตามประกาศประกวดราคา จะต้องถูกตัด สิทธิมิให้เข้าร่วมแข่งขันเสนอราคาในครั้งนี้ แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการประกวดราคากลับพิจารณาให้บริษัท พีซีซี ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด เป็นผู้ผ่านคุณสมบัติจนมีสิทธิเข้าแข่งขันเสนอราคา และต่อมาก็ ปรากฏว่าบริษัท พีซีซี ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคา การเสนอราคา ของบริษัท พีซีซี ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด ดังกล่าวจึงเป็นการเอาเปรียบผู้เสนอราคารายอื่นที่ ต้องเสนอขนาดความยาวเสาเข็มตอก จํานวน 21 เมตร/ต้น ซึ่งมีราคาสูงกว่ามาก การเสนอราคาจึงไม่มีการแข่งขัน กันอย่างเป็นธรรม
นอกจากนั้น ยังปรากฏว่าราคาเสาเข็มตอกที่บริษัท พีซีซี ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด เสนอ ราคาต้นละ 4,050 บาท ยังต่ํากว่าราคาตามท้องตลาด โดยตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์กําหนด ราคาเสาเข็มตอกขนาดความยาว 21 เมตร ราคา 8,151.15 บาท ต่อต้น และต่ํากว่าราคากลางของสํานักงาน ตํารวจแห่งชาติที่กําหนดราคาเสาเข็มตอกไว้ 6,360 บาท ต่อต้น แต่คณะกรรมการประกวดราคาก็มิได้พิจารณาว่า ราคาที่เสนอดังกล่าวมีความถูกต้องเหมาะสมหรือไม่อย่างไร จนสํานักงานตํารวจแห่งชาติทําสัญญาบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด เป็นผู้รับจ้าง ตามสัญญาลงวันที่ 31 มีนาคม 2553 และต่อมา เป็นเหตุให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติหักลดค่าเสาเข็มที่ตอกไม่ครบถ้วนตามแบบรูปรายการได้น้อยกว่าราคา ที่แท้จริง เป็นเงินทั้งสิ้น 14,112,489.56 บาท และต่อมาก็ปรากฏว่าการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา (ก่อสร้างเสร็จ จําวน 82 หลัง ไม่เสร็จ จํานวน 81 หลัง) ทั้งที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ขยายระยะเวลาการ ก่อสร้างออกไปอีกจํานวนหลายครั้ง แต่ผู้รับจ้างก็ไม่สามารถทําการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาได้ จนสํานักงาน ตํารวจแห่งชาติต้องใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 และต่อมาสํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ ฟ้องคดีต่อศาลปกครองให้บริษัท พีซีซี ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด ชดใช้ค่าเสียหายรวมค่าปรับ เป็นเงิน จํานวน 3,994,499,254.91 บาท
นอกจากนั้น ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในระหว่างการก่อสร้างพันตํารวจโท คมกริบ นุตาลัย ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการตรวจการจ้าง ตํารวจภูธรภาค 6 ได้เรียกรับเงินจากผู้รับจ้างเพื่อแลกกับการ ช่วยเหลือในการตรวจการจ้างเป็นเงิน จํานวน 60,000 บาท และดาบตํารวจ สายัณ อบเชย ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ ควบคุมงานก่อสร้าง ตํารวจภูธรภาค 5 ได้เรียกรับเงินจากผู้รับจ้างเพื่อแลกกับการช่วยเหลือในการควบคุมการ ก่อสร้างเป็นเงิน จํานวน 91,618,000 บาท อันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สําหรับตนเองหรือผู้อื่น
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาการกระทําของผู้ถูกกล่าวหาแต่ละรายแล้ว มีมติ เป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 8 เสียง ดังนี้
1.) การกระทําของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นกรรมเดียวกันกับกรณีอนุมัติให้สํานักงาน ตํารวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดจ้างอาคารที่ทําการสถานีตํารวจ (ทดแทน) จํานวน 396 แห่ง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้วินิจฉัยแล้วว่าการกระทําดังกล่าวมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
2.) การกระทําของคณะกรรมการประกวดราคา ได้แก่ พลตํารวจโท ธีรยุทธ กิติวัฒน์ พลตํารวจตรี สัจจะ คชหิรัญ พันตํารวจเอก ปัทเมฆ สุนทรานุยุตกิจ พันตํารวจเอก จิรวุฒิ จันทร์เพ็ญ พันตํารวจตรี สิทธิไพบูลย์ คํานิล พันตํารวจเอก พิชัย พิมลสินธุ์ และพันตํารวจตรี สมาน สุดใจ มีมูลความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 และ มาตรา 12 และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79 (1) (5) และ (6)
3.) การกระทําของดาบตํารวจ สายัณ อบเชย มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 151 และมาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79 (1) (5) และ (6)
4.) การกระทําของพันตํารวจโท คมกริบ นุตาลัย คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติด้วยคะแนน เสียง 5 เสียง ต่อ 3 เสียง ว่ามีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 151 และมาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79 (1) (5) และ (6)
5.) การกระทําของ บริษัท พีซีซีฯ โดยนายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล กรรมการผู้จัดการ ผู้มีอํานาจ ลงนามผูกพันบริษัทฯ และนายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล ในฐานะส่วนตัว มีมูลความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่า ด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ มาตรา 10 และมาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 86 และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ให้ส่งเรื่องรายงาน เอกสารหลักฐาน พร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดําเนินคดีอาญา ในศาลซึ่งมีเขตอํานาจพิจารณาพิพากษา ตามมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และส่งรายงาน เอกสารหลักฐานพร้อมความเห็น ไปยัง ผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย ตามมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 92 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 แล้วแต่กรณีต่อไป