ศาลเดือด! 'ปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์'อธิบดีศาลฯ ฟ้องประธานศาลฎีกา สั่งย้ายไม่เป็นธรรม
อธิบดีศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ฟ้อง 'เมทินี ชโลธร'ประธานศาลฎีกา ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ม.157, 91 กรณีสั่งย้ายไม่เป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่1 มิ.ย.64 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง นายปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบภาค 1 ปฏิบัติภารกิจชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฏีกา ในฐานความผิดปฏิบัติหน้าที่และละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 และ ม. 91จากกรณี ประธานศาลฎีกา ได้ลงนามแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรมที่ 333/2564 วันที่ 25 มี.ค.2564 กรณี นายปรเมษฐ์ โจทก์
ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปก้าวก่าย หรือ เเทรกเเซงการพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ อท. 48/2563 ของศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบภาค 1โดยตอนหนึ่งของคำฟ้องระบุว่า คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้น เป็นการกระทำปฏิบัติหน้าที่ในการดําเนินการสอบสวนพยานหลักฐานต่างๆ อย่างเร่งรีบรวบรัด ด่วนสรุปความเห็นเพียงไม่กี่วันทําการราชการหลังจากวันได้รับการแต่งตั้ง หากโจทก์เข้าชี้แจงและนําพยานหลักฐานต่างๆ เข้าสืบในข้อที่เป็นผลร้ายต่อโจทก์นั้นแล้ว
ซึ่งเป็นพยานหลักฐานในประเด็นสําคัญโดยตรงในการที่โจทก์มีสิทธิชี้แจงและนําพยานหลักฐานเข้าสืบแก้ในข้อที่เป็นผลร้ายนั้นตามสิทธิ์ของโจทก์ตามบทบัญญัติของกฎหมาย และประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมตลอดทั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 4บัญญัติว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญอย่างเสมอภาค
คำฟ้องระบุด้วยว่า จําเลยบังอาจกระทําความผิดกล่าวคือ สํานักงานศาลยุติธรรม โดยจําเลยประธานศาลฎีกา มีคําสั่งที่ 415/2564 ลงวันที่ 19 เมษายน 2564 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ขณะดํารงตําแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาคาถูกกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรงนั้น การกระทําของจําเลยเป็นการรับฟังพยานหลักฐานต่างๆ จากการดําเนินการสอบสวนและนําสรุปความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้น ไม่ชอบด้วย ตามประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมและบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งในวันพุธที่ 7 เมษายน 2564 โจทก์รับทราบคําสั่งให้ไปช่วยราชการและวันพฤหัสที่ 8 เมษายน 2564 โจทก์เดินทางไปช่วยราชการและรายงานตัวต่อประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 1 วันที่ 9 เป็นวันศุกร์ วันที่ 10 และ 11 เป็นวันเสาร์ และอาทิตย์วันที่ 12 ถึง 15 เมษายน 2564 เป็นวันหยุดราชการสงกรานต์ วันที่ 17 และ18 เมษายน 2564 เป็นวันเสาร์และอาทิตย์ วันรุ่งขน น วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นวันเพิ่งเปิดทําการราชการหลังจากหยุดราชการมาหลายวัน จําเลยประธานศาลฎีกากระทําการด้วยความเร่งรีบ เร่งด่วน ซึ่งสํานักงานศาลยุติธรรมโดยจําเลยประธานศาลฎีกา มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงแก่โจทก์ดังกล่าวทําให้เป็นที่น่าสงสัย เพราะมีเหตุผลใดต้องเร่งรีบเร่งด่วนเช่นนั้นทั้งที่จําเลยรู้ทราบดีว่าการดําเนินการสอบสวน และสรุปความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นโดยโจทก์ผู้ถูกร้องเรียนกล่าวหายังไม่ได้ชี้แจงและนําพยานหลักฐานเข้าสืบแก้ในข้อที่เป็นผลร้ายแก่โจทก์
การกระทําของจําเลย โดยนําสรุปความเห็นจากการดําเนินการสอบสวนและมีความเห็นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการดําเนินการสอบสวนที่กําหนดในประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ซึ่งโจทก์ก็มีหนังสือด่วนที่สุดขอความเป็นธรรมต่อจําเลยและคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ในวันที่ 5 เมษายน 2564 ปรากฏตามสําเนาหนังสือขอความเป็นธรรมจํานวน 4 ฉบับโจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่มีกรณีไปก้าวก่าย หรือแทรกแซงในการพิจารณาคดีของผู้พิพากษาผู้ใต้บังคับบัญชาแต่อย่างใด ตามที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นสรุปเสนอความเห็นแล้วสํานักงานศาลยุติธรรม โดยจําเลยประธานศาลฎีกามีคําสั่งให้โจทก์ไปช่วยทํางานชั่วคราวในตําแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ภาค 1 ตามคําสั่งสํานักงานศาลยุติธรรมที่ 371/2564 และมีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ตามคําสั่งสํานักงานศาลยุติธรรมที่415/2564พฤติการณ์การกระทําของจําเลยเป็นการใช้อํานาจโดยไม่ชอบตามบทบัญญัติของกฎหมาย มีเจตนากระทําการปฏิบัติหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 91