ด่วน!คกก.เปิดเผยข้อมูลวินิจฉัยมัด ‘สุภา’ ส่อจงใจละเว้นช่วย‘ไพรินทร์-พวก’คดีปาล์ม
ด่วน!คกก.เปิดเผยข้อมูลวินิจฉัยมัด ‘สุภา’ ส่อจงใจละเว้นช่วย‘ไพรินทร์-พวก’คดีปาล์ม ชี้หลักฐานชัดเจน คำวินิจฉัยคณะกรรมการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ฯ มัด “สุภา ปิยะจิตติ” ส่อจงใจละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบ-ช่วยเหลือ “ไพรินทร์” กับพวก
รายงานข่าวระบุ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายได้มีคำวินิจฉัยที่ สค 267/2564 เรื่องอุทธรณ์คำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการไต่สวนข้อเท็จจริง ระหว่างนายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อุทธรณ์ กับหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ สำนักงานป.ป.ช. ว่า ผู้อุทธรณ์ได้มีหนังสือถึงป.ป.ช.ขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีหมายเลขดำที่ 5640021961(เรื่องรับที่ 9128) จำนวน 8 รายการ
แต่ป.ป.ช.ไม่มีเอกสารตามที่ผู้อุทธรณ์ขอให้เปิดเผย เอกสารรายการที่ 1 , 2 , 4 , 6 , และ 7 ส่วนรายการที่ 5 , 8 เป็นเอกสารภายในอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้เปิดเผย ให้สำนักงานป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารเฉพาะรายการที่ 3 คำสั่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ขยายระยะเวลาการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีหมายเลขดำที่ 5640021916
สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2556 ตนได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร, นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร, นางรสยา เธียรวรรณ กับพวก ต่อคณะกรรมการป.ป.ช.ว่าทุจริตใน “โครงการปาล์มประเทศอินโดนีเซีย”
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับเรื่องไว้พิจารณาเป็นคดีหมายเลขดำที่ 5640021961 (เรื่องรับที่ 9128) และต่อมาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 ในการประชุมครั้งที่ 799 - 73//2559 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเห็นชอบให้รวมพิจารณาเรื่องที่ตน กล่าวหานายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กับพวกในคดีหมายเลขดำที่ 5640021961(เรื่องรับที่ 9128) กับคดีหมายเลขดำที่ 02-3-322 ถึง 326/255 (คดีที่ตนถูกนายไพรินทร์กล่าวหา) เพื่อพิจารณาในภาพรวมของเรื่องทั้งหมด
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดในคดีทั้ง 2 คดีเพื่อพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดแล้วพิจารณาชี้มูลไปในคราวเดียวกัน
นอกจากนี้เกี่ยวกับการกระทำความผิดของนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กับพวก ตน ยังได้นำคดีไปฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางด้วยตนเองรวมทั้งสิ้น 6 คดี ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาคดี นางสุภา ปิยะจิตติ ในฐานะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวน ได้ส่งหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ้างว่าเรื่องที่ตน ได้ยื่นฟ้องนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กับพวกทั้งหมดนั้นมีการกล่าวหรือถูกกล่าวหาในเรื่องเดียวกันอยู่ระหว่างการดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ศาลจึงได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีทั้งหมดเป็นการชั่วคราวเพื่อรอฟังผลการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยให้ตน ติดตามความคืบหน้าแล้วแถลงให้ศาลทราบเป็นระยะๆ
แต่ปรากฏว่านับตั้งแต่ตน ได้ยื่นหนังสือกล่าวหานายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กับพวก เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2556 จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลานานถึง 8 ปี และถ้านับจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเห็นชอบให้รวมการพิจารณาคดี เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลานานถึง 5 ปี คดีไม่มีความคืบหน้าเลย ทั้งที่ระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 ข้อ 48 คณะกรรมการต้องดำเนินการไต่สวนให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี อาจขยายระยะเวลาตามความจำเป็นได้แต่รวมแล้วไม่เกิน 3 ปี
เมื่อได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อ พ.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ก็เงียบไม่ดำเนินการใดๆ เมื่อจัดส่งเอกสารหลักฐานต่างๆ ให้แก่นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวน พยานหลักฐานต่างๆก็ถูกซ่อนเร้นไม่นำเข้าสำนวนไต่สวนเพื่อให้คณะกรรมการป.ป.ช.ได้รับรู้รับทราบ แต่ในขณะเดียวกันคดีที่ตนเองถูกนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร มีหนังสือกล่าวหา คณะกรรมการป.ป.ช. กับเร่งพิจารณาคดีและแจ้งข้อกล่าวหา โดยไม่นำพยานหลักฐานที่ตนรวบรวมและนำส่งให้หลายหมื่นแผ่นมาวินิจฉัย
ตนจึงได้ขอให้ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดี ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 แต่ป.ป.ช.ได้ปิดบังไม่ยอมเปิดเผยข้อมูล ตนจึงได้อุทธรณ์และคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯได้มีคำวินิจฉัยดังกล่าว ปรากฏว่า ป.ป.ช.ไม่มีเอกสารตามที่ตนได้ร้องขอเลย แสดงให้เห็นชัดว่าที่ผ่านมาป.ป.ช.โดยเฉพาะนางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช.ผู้รับผิดชอบสำนวน พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป.ป.ช.ไม่ได้เริ่มกระบวนการไต่สวนเลย
เพราะหากเริ่มกระบวนการไต่สวนจะต้องมีเอกสารที่สำคัญตามที่ตนได้ร้องขอ อาทิเช่น 1. รายงานการประชุมหรือมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวน เลขานุการ และที่ปรึกษาในการไต่สวน และรายการที่ 2. รายชื่อหัวหน้าพนักงานไต่สวน พนักงานไต่สวน และผู้ช่วยพนักงานไต่สวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่น เลขานุการ และที่ปรึกษา ที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายให้ทำการไต่สวนข้อเท็จจริง ในเมื่อยังไม่มีการเริ่มไต่สวนข้อเท็จจริง จึงยังไม่มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ฯ และยังไม่มีรายชื่อบุคคลผู้ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายให้ทำการไต่สวนข้อเท็จจริง ตามรายการที่ 1 และ 2
ดังนั้น เมื่อรายการที่ 1 ที่ 2 ยังไม่มีและยังไม่เกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีรายการที่ 3 (คำสั่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ขยายระยะเวลาการไต่สวนข้อเท็จจริง) นอกจากนี้จากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวได้อ้างอิงหนังสือชี้แจงของป.ป.ช. ลับ ด่วนที่สุดที่ ปช 0024/0715 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2564
ตนจึงได้ทราบเรื่องว่า คณะกรรมการป.ป.ช.เห็นชอบให้แยกเรื่องกล่าวหาเรื่องที่ตนกล่าวหานายไพรินทร์กับเรื่องที่นายไพรินทร์กล่าวหาตนออกจากกัน การแยกเรื่องออกจากกันนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนโดยปราศจากข้อสงสัยว่าเป็นการช่วยเหลือนายไพรินทร์กับพวกไม่ให้ได้รับโทษในทางอาญาเนื่องจากคดียังไม่เริ่มกระบวนการไต่สวนใดๆเลย ส่วนเรื่องของตนพยายามเร่งชี้มูลความผิดเพราะคดีได้ไต่สวนมาแล้วถึง 8 ปี
นอกจากนี้ การที่นางสาวสุภา ปิยะจิตติ ส่งหนังสือถึงอธิบดีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง 6 คดี ว่า คดีอยู่ในระหว่างการไต่สวนของป.ป.ช. นั้นเพื่อให้ศาลหลงเชื่อและมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีทั้งหมดเป็นการชั่วคราวเพื่อรอฟังผลการไต่สวนข้อเท็จจริงของป.ป.ช.แต่ป.ป.ช.กลับไม่ดำเนินการใดๆเลย ถ้านางสาวสุภา ปิยะจิตติ ได้ไต่สวนข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้น 8 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ตนเชื่อว่ามีคนติดคุกแล้วหลายคน
โดยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ และหนังสือของสำนักงานป.ป.ช. ลับ ด่วนที่สุดที่ ปช 0024/0715 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 นั้นเป็นหลักฐานหรือใบเสร็จชิ้นดีที่แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมา 8 ปี นางสาวสุภา ปิยะจิตติ และพลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ ละเว้นไม่ดำเนินการไต่สวน นายไพรินทร์ กับพวก เป็นการช่วยเหลือนายไพรินทร์กับพวกไม่ให้ต้องรับโทษในคดีอาญา ในทางตรงข้ามกัน กลับกลั่นแกล้งตนให้รับโทษในคดีอาญา
ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 , 200 กรณีละเว้นไม่ไต่สวนนายไพรินทร์ กับพวก อันเป็นการช่วยเหลือนายไพรินทร์ กับพวกไม่ให้ต้องรับโทษในคดีอาญา และเป็นการกลั่นแกล้งตนเพื่อให้ได้รับโทษในทางอาญา
นอกจากนี้ ยังฝ่าฝืนบทบัญญัติของพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2561 มาตรา 172 , 183