ผ่ากลยุทธ์‘สิงห์ เอสเตท’หลังโควิดลุ้นฟื้นตัวก้าวกระโดด

“สิงห์ เอสเตท” ธุรกิจในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ของตระกูลภิรมย์ภักดีใช้เวลาเพียง 8 ปี หลังเข้ามาโลดแล่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เมื่อปี 2557 จากที่ดินเก่าของตระกูล จนถึงวันนี้ขยายพอร์ตอย่างรวดเร็วครอบคลุม 4 กลุ่มอสังหาฯ ได้แก่ ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจเชิงพาณิชย์ ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ตและนิคมอุตสาหกรรม

ล่าสุด ซอฟโอเพนนิ่ง อาคารสำนักงาน S-OASIS แลนด์มาร์คแห่งใหม่ย่านวิภาวดีฯรับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของ “สิงห์ เอสเตท” หลังโควิดคลี่คลาย 

ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจช่วงเวลานี้อยู่ระหว่างการฟื้นตัว ซึ่งประเทศไทยมีธุรกิจที่หลากหลายทั้งทางด้านเกษตรกรรม ท่องเที่ยว ส่งออก แต่ที่เห็นชัดเจนคือธุรกิจท่องเที่ยวน่าจะเป็นไปได้ดี โดยเฉพาะภาวะที่อัตราแลกเปลี่ยนแบบนี้ ต่างชาติใช้เงินน้อยลงเวลาที่มาเที่ยวประเทศไทย ที่มีภูมิประเทศสวยงามเหมาะกับการท่องเที่ยว เชื่อว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติทุกคนคงคิดถึงประเทศไทยฉะนั้นธุรกิจที่เกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยว ย่อมฟื้นตามมาไม่ว่าจะเป็นสายการบิน หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

“ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเราขาดกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่เคยเข้ามาลงทุนในไทยส่งผลให้ธุรกิจชะลอไปบ้าง เพราะยังเดินทางเข้ามาไม่ได้ ทำให้การก่อสร้างอาคารสูงชะลอตัวช่วงโควิด”

 วัฐจักรอสังหาฯ มีขึ้นมีลง

ฐิติมา มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสัจธรรม ! เหมือนช่วงวิกฤติน้ำท่วมปี 2554 ที่คนหนีจาก (บ้าน) ข้างล่างขึ้นข้างบน (คอนโด) แต่ตอนนี้เราหนีจากคอนโดไปอยู่บ้าน อสังหาฯ เป็นธุรกิจที่เป็นวัฐจักร มีวงจรและเชื่อมโยงกับสภาวะเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ แต่บนพื้นฐานที่เป็นธุรกิจ “ปัจจัยสี่ ” อย่างไรคนต้องการสร้างบ้าน ต้องการซื้อบ้าน เพียงแต่ว่ารูปแบบการลงทุนต่างกันไปในช่วงที่ธุรกิจชะลอตัว ทำให้การซื้อบ้านหลังที่สอง หลังที่สามชะลอตัว

ทว่าในห้วงเวลานี้ตลาดยังคงเป็นของผู้ซื้อ เพราะยังมีของให้เลือกโดยเฉพาะซัพพลายคอนโดเหลืออยู่เยอะ!! จากข้อมูลพบว่า อัตราการดูดซับของตลาดคอนโดกลับมาเร็วกว่าที่คิด คือ ประมาณ 6 เดือน และยอดโอนเริ่มเข้ามาต่อเนื่องหลังผู้บริโภครอดูเรื่องภาษี แต่เมื่อทุกอย่างเคลียร์ ไม่ต้องลุ้นแล้ว

ขยายพอร์ตบ้านซูเปอร์ลักชัวรี

ภาวะเศรษฐกิจขณะนี้น่าลงทุน โดยเฉพาะตลาดแนวราบ สิงห์ เอสเตท ขยายอย่างจริงจัง ล่าสุดปิดการขายโครงการ “ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส” บ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรี หลังละ 65-180 ล้านบาท จำนวน 32 ยูนิต ในซอยพัฒนาการ 32 เรียบร้อยแล้ว  ทั้งนี้ สิงห์ เอสเตท เป็นธุรกิจที่มีฐานลูกค้าอยู่ในตลาดบนที่ให้ความเชื่อถือ ต่อยอดมาจากโครงการบ้านเดี่ยว สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ราคาเริ่มต้น 250 ล้านบาท หรือ 7-8 ล้านดอลลาร์ เป็นบ้านสั่งสร้าง ขายหมดตั้งแต่ปี 2564 ปัจจุบันโอนบ้านไป 30% แต่โอนที่ไปแล้ว 50% ทยอยโอนไปเรื่อยๆ

ทิศทางจากนี้ไป สิงห์ เอสเตท กำลังไต่ระดับราคาลงมา!!  เราคงไม่มีบ้านระดับราคา 250 ล้านบาทขายตลอด เพราะข้อจำกัดที่ดิน จึงขยายไลน์แนวราบ 3 ระดับ ตั้งแต่ 20 ล้านบาทไปจนถึงกว่า 100 ล้านบาท หรือตั้งแต่ 20-50 ล้านบาท ถัดมาราคา 50-100 ล้านบาท และ 100 ล้านบาทขึ้นไป โดยปี 2566 จะมีอีก 2-3 แบรนด์ใหม่ ที่จะมีกลุ่มรวมกับบ้านทาวน์โฮมเข้ามา โดยเลือกโลเคชั่นที่ดีย่านรามอินทรา 2 โครงการ โซนตะวันตก ย่านราชพฤกษ์-สาทร 1 โครงการ วางเป้าหมายสัดส่วนแนวราบ 60% อีก 40% เป็นแนวสูง จากเดิมทำคอนโด100%

 ชี้เทรนด์ออฟฟิศยุคใหม่

สำหรับ อาคารสำนักงาน มีทั้งปัจจัยบวกและลบ หลังจากผ่านปีที่ 2 ของโควิด หลายองค์กรขนาดใหญ่ทั้งองค์กรสัญชาติไทยหรือต่างชาติ ตระหนักว่า การทำงานที่บ้าน (Work from Home) “ไม่ใช่ ”โซลูชั่นสำหรับทุกองค์กร แต่ช่วงโควิดถือเป็นภาคบังคับต้องทำงานที่บ้าน ท้ายที่สุดนิวนอร์มอลการทำงานยังคงต้องกลับมาทำที่ออฟฟิศ เพราะหัวใจสำคัญคือการทำงานร่วมกันของคน

ดังนั้นนิวนอร์มอลของการทำงานเป็นเรื่องการจัดสรรพื้นที่ให้มีความยืดหยุ่น ตอบโจทย์วิธีการทำงานแบบใหม่ เฟล็กซิเบิลสเปซหรือไลฟ์สไตล์สเปซ ซึ่งตึกเอส โอเอซิส (S-OASIS) เป็นหนึ่งในออฟฟิศที่ตอบโจทย์ มีการปรับพื้นที่เช่าให้มีความหลากหลายมากขึ้น

เพราะปัจจุบันมีสตาร์ทอัพเป็นจำนวนมากซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องใช้ระยะเวลาในการลองผิดลองถูกฉะนั้นการใช้พื้นที่ต้องยืดหยุ่นสูง ต้องการพื้นที่ขนาดเล็กลงแต่ต้องมีพื้นที่ใช้ขนาดใหญ่ร่วมกัน ที่สำคัญ สิ่งอำนวยความสะดวกต้องทันสมัย มีคอนเน็คทิวิตี้ เดินทางสะดวกจาก MRT BTS ขึ้นทางด่วนศรีรัช ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักมาจากไอทีและกลุ่มพลังงาน ล่าสุดอัตราการเช่า รีเทลเต็ม 100% พื้นที่ออฟฟิศเกือบ 20%

"ต้องยอมรับว่า ลูกค้าชะลอดูสถานการณ์ก่อนตัดสินใจ เหมือนลูกค้านิคมฯ อยู่ระหว่างการตัดสินใจ ว่าจะย้านฐานหรือไม่  ถ้าย้ายฐานมาโซนอยุธยาตอบโจทย์เขาเรื่องอะไรบ้าง คือกลุ่มคนที่ไม่ประสงค์เข้าอีอีซี เพราะกลุ่มลูกค้าของนิคมฯ เราเป็นอุตสาหกรรมอาหาร ตอบโจทย์ด้าน Carbonization ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีสำหรับคนที่ทำธุรกิจอาหาร ปัจจุบันรายได้จากนิคมฯ คิดเป็นสัดส่วน 10%"

ดีมานด์อั้นจีนหนุนโรงแรมโต

อีกแหล่งรายได้หลักของสิงห์ เอสเตท คือ “โรงแรม” ที่กำลังฟื้นตัว และเราไม่ได้มีโรงแรมแค่ในประเทศไทย หรือโฟกัสประเทศใดประเทศหนึ่ง ทั้งโรงแรมในไทย สหราชอาณาจักร มัลดีฟส์ มอริเชียส และ ฟิจิ  เริ่มกลับมาในระดับใกล้เคียงกัน โดยอัตราการเข้าพัก อยู่ที่ 70% จากสหราชอาณาจักร, มัลดีฟส์ และปลายปี ฟิจิเริ่มกลับมา

ซึ่งฟิจิเป็นที่เที่ยวเฉพาะของกลุ่มประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเข้มงวดในการเดินทางช่วงโควิด กระทั่งเปิดประเทศ ทำให้ตลาดฟิจิกลับมาเร็ว ด้วยจุดเด่นเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ส่วนตลาดมัลดีฟส์กลับมาก่อนตลาดอื่น เพราะเป็นเกาะ และโรงแรมของสิงห์ เอสเตทอยู่ใกล้สนามบิน

"ปีหน้าประเทศไทยคาดว่ากลับสู่ภาวะปกติแล้ว ในเมืองไทยมีโรงแรมที่สมุย ภูเก็ต กระบี่ น่าจะโตก้าวกระโดดเพราะรัฐบาลสนับสนุนเรื่องท่องเที่ยวน่าจะเห็นอะไรที่ดีขึ้น"

ส่วนตลาดโรงแรมในอังกฤษแม้สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่โรงแรมของสิงห์ เอสเตท เน้นรองรับคนอังกฤษไม่ใช่โรงแรมที่รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเรามีโรงแรมตั้งแต่ภาคใต้ไบร์ทตัน ไปถึงทางเหนือ สกอตแลนด์ อดิบุระทำให้ไม่มีความเสี่ยง

ปีหน้า อัตราการเข้าพักของโรงแรมจะสูงขึ้น จากดีมานด์จากนักท่องเที่ยวจีนกลับมา ซึ่งเป็นดีมานด์ที่อั้นมานาน หรือกลุ่มตะวันออกกลาง ที่เดินทางมากขึ้น จึงไม่มีความกังวล ตรงกันข้าม มั่นใจว่าปีหน้า ประเทศไทยกลับมาแน่ ทันจีนเปิดประเทศเพราะลูกค้าหลักคือคนจีน รวมทั้ง มัลดีฟส์ หมายความว่าราคาที่พักในโรงแรมแพงขึ้น ดังนั้นถ้าจะเที่ยวก็รีบเที่ยว