‘ลลิล’ตรึงราคาสู้คู่แข่งหวังโต10%สวนตลาด

‘ลลิล’ตรึงราคาสู้คู่แข่งหวังโต10%สวนตลาด

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ตลาดอสังหาฯ ปี 66 แข่งเดือด รายใหญ่ชิงแชร์คู่แข่งเดือด กระทบรายกลาง เล็ก กางแผน “ตรึงราคาสู้” หวังดันยอดขายโต 10% ปักหมุดแนวราบ “ทาวน์เฮาส์-บ้านเดี่ยว” ราคา 2-9 ล้าน 10-12 โครงการมูลค่ารวม 7-8 พันล้าน ตั้งเป้ายอดขาย 8.6 พันล้าน

นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเมินปัจจัยลบและปัจจัยบวกในภาคอสังหาริมทรัพย์ปี 2566  ยังคงเป็นปีที่มีความเสี่ยงสูง แม้ว่าบริษัทขนาดใหญ่จะประกาศเดินหน้าเปิดตัวโครงการจำนวนมาก แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมายังคงต้องวางแผนอย่างระมัดระวัง 

ทั้งนี้ ประเทศไทยผูกติดกับเศรษฐกิจโลก หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นจะได้รับผลกระทบ รวมทั้งการเปิดรับนักท่องเที่ยวจีน ก็ต้องระมัดระวังมีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดในประเทศอีกครั้งได้เช่นกัน ดังนั้น สถานการณ์การแข่งขันในตลาดอสังหาฯ ปีนี้ยังคงรุนแรง จากผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่เข้ามาชิงแชร์คู่แข่งอย่างคึกคัก

"ตลาดรวมจะมีอัตราการเติบโต 3-5%  รายเล็ก รายกลางนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำตลาดลำบากขึ้นจากเดิม จนถึงขั้นขายกิจการ ส่งผลให้ตลาดมีลักษณะเป็น K-shape เหมือนเศรษฐกิจ ที่มีรายที่เติบโตได้ดีจะอยู่เคขาบน ส่วนบริษัทที่ยอดขายไม่ดีจะอยู่เคขาล่าง หรือเทียบโจทย์ยากการทำตลาดอสังหาฯ ปีนี้  การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นเหมือนกับฟุตบอลโลกรอบรองสุดท้ายเหลือแต่ทีมแข็งๆ อาร์เจนตินา บราซิล เรากลางเหมือนทีมโมร็อกโก สู้ตาย”

นายไชยยันต์ กล่าวต่อว่า แม้ต้นทุนเหล็ก ปูน ซึ่่งเป็นวัตถุดิบในการก่อสร้างแกว่งขึ้นลงทำให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการเพิ่มขึ้น แต่ในภาวะกำลังซื้อเช่นนี้ ใครขึ้นก่อนเสียเปรียบการแข่งขัน

ดังนั้น ช่วง6 เดือนแรกปีนี้ “ลลิล” จะตรึงราคาบ้านไปจนถึงกลางปีเพื่อดึงกำลังซื้อลูกค้ากลุ่มเรียลดีมานด์เข้ามาในระดับราคาตั้งแต่ 2-9 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 

ส่วนครึ่งปีหลังเศรษฐกิจดีขึ้นค่อยปรับแผนใหม่อีกครั้ง เพราะหากเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด(Worst case scenario ) จะไม่เจ็บตัวมาก 

“หมากตั้งรับแบบนี้บริษัทคนหนุ่มคิดไม่เป็น เน้นแต่หมากรุก พอสิ้นปีทำไม่ได้ตามเป้าหมายหน้าเศร้ากันไป”

สำหรับการซื้อที่ดินปีนี้ จัดสรรงบประมาณ 1,500-1,600 ล้านบาท ใกล้เคียงปีที่ผ่านมา เป็นราคาดี จากภาวะทรงตัว จากปีที่ผ่านมาผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากจากภาษีที่ดินกับภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ราคาที่ดินทรงตัว สังเกตได้จากในปีที่ผ่านมามีการซื้อขายที่ดินออกมามาก ยิ่งถ้าเป็นที่ดินเก่าแต่ถ้าไม่ขายเจ้าของที่ต้องควักเงินสดไปจ่ายรัฐบาล
 

ทางด้านนายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ กล่าวเสริมว่า ปี 2566 วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 10-12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนตลาดต่างจังหวัด ต้องรอพิจารณากำลังซื้อของผู้บริโภคกลับมาก่อนอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง โดยวางเป้ายอดขาย 8,600 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 6,850 ล้านบาท เติบโต 10% สูงกว่าภาพรวมตลาดที่คาดว่าจะเติบโต 3-5% ตามจีดีพี

ส่วนแผนการตลาดในปี 2566 จะใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้น Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing โดยต่อยอดการทำตลาดผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มมากขึ้น และมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยนำ บิ๊กดาต้า มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insight

ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่เป็นเรียลดีมานด์ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในรูปแบบของ ดีไซน์ และ สมาร์ท ฟังก์ชั่นของตัวบ้าน