คอนโดแก้เกมปฏิเสธสินเชื่อพุ่งหันจับกลุ่มซื้อปล่อยเช่า

นายพีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทยและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยลบที่สร้างความกังวลให้ในปี 2567 คือ สงคราม “อิสราเอล-ฮามาส” ซึ่งต้องจับตาการกดดันของนานาชาติจะมีผลอย่างไร อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 น่าจะฟื้นตัวจากปี 2566 โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจเติบโต 5% น่าจะสามารถทำได้ จากนโยบายต่างๆ รวมถึงปัจจัยบวกการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก 

“เทียบปีนี้เศรษฐกิจโลกไม่ดี ตลาดอสังหาริมทรัพย์คาดหวังลูกค้าชาวจีนกลับมาอีกครั้งไม่ได้ เพราะประเทศจีนประสบสภาวะเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ย่ำแย่ จึงมีความพยายามกระจายความเสี่ยงมาลงทุนนอกประเทศเพิ่ม อย่างการที่นักลงทุนจีนเข้ามาตั้งบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมากขึ้น”

ทั้งนี้ หากพิจารณาในปี 2559 -2560 นับเป็นช่วงพีคสุดของกำลังซื้อชาวจีนในตลาดคอนโดมิเนียมที่มีสัดส่วน 20% แต่ปีนี้เติบโต 5% เพราะจำนวนลูกค้าจีนลดลง โดยมีชาติอื่นเข้ามาเสริม อาทิ ฮ่องกง รัสเซีย ไต้หวัน เมียนมา ทำให้ไทยได้ลูกค้าใหม่เข้ามาเสริม ส่วนปีหน้าคาดว่าจะโต 10%

ปัจจุบันสัดส่วนของลูกค้าต่างชาติ อันดับ 1 คือ จีนฮ่องกง ตามด้วย  สหรัฐ อังกฤษ รัสเซีย นอกจากนี้ประเทศที่มาแรง คือ ไต้หวัน เมียนมา ที่มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศจึงมองหาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ซึ่งมีภาพลักษณ์ของสวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชียและมีความเป็นกลางทางการเมืองระดับโลก
 

อย่างไรก็ตาม จากความเปราะบางของกำลังซื้อในประเทศทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับตัวด้วยการนำเสนอโครงการอสังหาริมทรัพย์ หรือคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า เจาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อเพื่อชดเชยกับกลุ่มเรียลดีมานด์ที่มีปัญหาทางการเงิน รายได้ลดลง ถูกปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นจากภาวะหนี้ครัวเรือนสูง   แต่อย่างไรก็ตามยังมองว่าคอนโดยังมีความน่าลงทุน โดยเฉพาะคอนโดรีสอร์ทในต่างจังหวัด ที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนดี ส่วนตลาดคอนโดในกทม.-ปริมณฑลทำเลที่ยังเติบโตในส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ แต่ย่านใจกลางเมืองยังมีการชะลอตัว

ในส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2566 ของออริจิ้น คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปีนี้ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุดบริษัทได้นำโครงการในพอร์ตกว่า 30 โครงการ ร่วมงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 44 ระหว่างวันที่ 2-5 พ.ย. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คาดมียอดขายในงาน 700-800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 600 ล้านบาท และหลังจบงานคาดมียอดขายเข้ามาต่อเนื่องอีก 200-300 ล้านบาท