“แสนสิริ” ชู3กลยุทธ์ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมตอบโจทย์ความยั่งยืน
“แสนสิริ” ชู3กลยุทธ์เลือกใช้วัสดุกรีน การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและขั้นตอนก่อสร้างลดการปล่อยคาร์บอนร่วมกับพันธมิตรตอบโจทย์ความยั่งยืนสู่เป้าหมาย Net Zeroในปี 2593
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ในงานสัมมนา “ SUSTAINABILITY FORUM 2024” หัวข้อ : ถอดสูตรธุรกิจสู่ความยั่งยืน Challenges and Opportunities in Building Sustainable Business Eco-System ว่า เรื่องของความยั่งยืน (sustainability) หรือแนวคิดความยั่งยืน “ESG” (Environmental, Social, Governance) แสนสิริได้นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 90%
"จากการเก็บข้อมูลพบว่า ตัวเลขการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากที่สุด คือบ้านของลูกค้าที่มีการใช้พลังงานภายในบ้านล่วงหน้าถึง60ปีข้างหน้าพบว่าแต่ละปีลูกบ้านมีการใช้พลังงานทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึง2,788,279ตันต่อปี และเกี่ยวพันกับการสร้างบ้าน รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ"
โดยแสนสิริ ตั้งเป้าหมายสูงสุดสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์หรือ Net Zero ให้ได้ภายในปี 2593 ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1. Green Procurement : การเลือกใช้วัสดุ Green Product และเลือกคู่ค้าที่ใส่ใจกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน ใช้วัสดุในการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 2. Green Architecture and Design : การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน สร้างสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย
เช่น Cool Living Designed Home นวัตกรรมบ้านเย็นช่วยประหยัดพลังงาน,Zero Waste Design การออกแบบที่ลดการสิ้นเปลืองและลดปริมาณขยะให้มากที่สุด,Universal Design การออกแบบเพื่อทุกคน ทุกวัย,Well Being ด้านคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของผู้อยู่อาศัย สะอาดปราศจากเชื้อโรค เสริมสร้างที่อยู่อาศัยด้วยนวัตกรรมเพื่อโลกเพื่อสิ่งแวดล้อม และ3. Green Construction : ที่มีขั้นตอนก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อโลก ลดระยะเวลาสร้าง ลดฝุ่น ลดขยะ ลดการปล่อยคาร์บอน
นายอุทัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาแสนสิริลงทุนในธุรกิจรายเล็กที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับแพลตฟอร์มแหล่งพลังงานทดแทน โดยร่วมกับ ion Energy อันดับ1 ติดตั้ง Solar Panel มากที่สุดในอสังหาฯไทย จากปี2565 จำนวน 700 หลัง ปี2566 จำนวน 1,800 หลัง และในปี2567 จำนวน 3,300 หลัง นอกจากนี้แสนสิริยังได้ร่วมกับ Sharge อันดับ1 ติดตั้ง EV Charger มากที่สุดในวงการอสังหาฯไทยจากปี2565 จำนวน 400 หลัง ปี2566 จำนวน 1,050 หลังและในปี2567 จำนวน 1,800 หลัง
"Value Chain ของธุรกิจอสังหาฯยาว เริ่มต้นจากการหาที่ดิน ,การวางผังโครงการ, การออกแบบ,การเลือกวัสดุ,การก่อสร้าง,การนำส่งสินค้าให้ผู้บริโภค,การบริหารจัดการโครงการ จึงต้องทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย ดังนั้นจึงต้องการแสวงหาความร่วมมือและจับมือพันธมิตรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่ค้าทางธุรกิจ หน่วยงานกำกับควบคุมต่างๆ ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง คู่แข่งในภาคธุรกิจเดียวกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย"