สธ.ส่งหนังสือด่วนที่สุด ฉีดวัคซีนโควิด19สลับชนิด-บูสเตอร์โดส
ปลัดสธ.ส่งหนังสือด่วนที่สุดถึงสสจ.ทั่วประเทศ แจ้งแนวทางฉีดวัคซีนโควิด19สลับชนิด-เข็มกระตุ้นบุคลากรทางการแพทย์
เมื่อวันที่ 16 ก.ค. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข
กรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 ได้มีการลงนามในหนังสือด่วนที่สุด เรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับชนิดสำหรับประชาชน และการฉีดวัคซีน covid-19 กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ให้แก่บุคลากร ทางการแพทย์และสาธารณสุข ด้านหน้า ส่งถึง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ใจความระบุว่า ด้วยสถานการณ์การระบาดของโรค covid 19 โดยกลายพันธุ์ สายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) พบเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งมีการศึกษาโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งประเทศไทย (ไบโอเทค) พบว่า การฉีดวัคซีน Sinovac เป็นเข็มที่ 1
และฉีดวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับที่สูงได้เร็วมากขึ้น โดยสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีใกล้เคียงกับ AstraZeneca 2 เข็ม ซึ่งคาดว่าจะมีผลดีต่อการป้องกันไรรัสสายพันธุ์เดลตา และไม่พบอาการข้างเคียงรุนแรงภายหลังได้รับวัคชีน
จากกรณีดังกล่าว การประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2564 และการประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด 19 (ศปค.สธ) เมื่อวันที่ 15 ก.ค
ที่ผ่าามา มีมติเห็นชอบการฉีดวัคชีนโควิด 19 สลับชนิด (ฉีดวัคซีน Sinovac เป็นเข็มที่ 1 และตามด้วยวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2) และการฉีดวัคซีนโควิด 19 กระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า แล้วนั้น
กระทรวงสาธารณสุข จึงขอแจ้งแนวทางการฉีดวัคซีนโควิด 19 สลับชนิดสำหรับประชาชน และ
การฉีดวัคชีนโควิด 19 กระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ดังนี้ 1. การฉีดวัคซีนโควิด 19 สลับชนิด สำหรับประชาชน ให้ฉีดวัคซีนซิโนแวคเป็นเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 เป็นวัคชีน AstraZeneca โดยมี
ระยะห่างระหว่างเข็ม 3-4 สัปดาห์ หากเกินกว่าระยะห่างที่กำหนด ขอให้ฉีดวัศซีนโดยเร็ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา โดยจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับที่สูงใกล้เคียงกับผู้ที่ใด้รับวัคชีน AstraZeneca 2 เข็ม แต่ใช้ระยะเวลาสั้นกว่า เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรคโควิด 19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์ของโรค ในระยะที่มีวัคชีนจำนวนจำกัด ทั้งนี้ ในกรณีผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นวัคซีน AstraZeneca กำหนดให้รับวัคซีนเข็มที่ 2
เป็นวัคซีน AstraZeneca เช่นเดิม โดยมีระยะห่างระหว่างเข็ม 12 สัปดาห์
2. การฉีดวัคซีนโควิด 19 กระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า
ข้อ 2.1 กำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ที่ดูแลผู้ป่วยโควิด 19
เช่น บุคลากรที่ปฏิบัติงานแผนกผู้ป่วยโควิด19 แผนกผู้ป่วยนอก คลินิกทางเดินหายใจ ห้องฉุกเฉินแผนกผู้ป่วยวิกฤต โรงพยาบาลสนาม เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่กักกัน และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานใน Hospitel ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค ครบ 2 เซ็ม ได้รับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยการรับวัคซีน AstraZeneca หรือวัคซีนชนิด
messenger Ribonucleic Acid (mRNA) จำนวน 1 เข็ม โดยมีระยะห่างระหว่างเข็มที่ 2 และเข็มกระตุ้นอย่างน้อย 4 สัปดาห์ หากเกินกว่าระยะห่างที่กำหนด ขอให้ฉีดวัคซีนโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca ครบ 2 เข็มนั้น เนื่องจากภูมิคุ้มกันยังอยู่ในระดับที่สูงเพียงพอ จึงยังไม่ต้องฉีดเข็มกระตุ้นในระยะนี้ ทั้งนี้ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่นๆ จะได้รับการจัดสรรวัคซีนเข็มกระตุ้นในระยะถัดไป
2.2 ขอให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำรวจรายชื่อบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 พร้อมทั้งเสนอรายชื่อดังกล่าวต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
เพื่อพิจารณาตรวจสอบ ยืนยันสถานะของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขแต่ละคน และส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข (MOPH IC White list) เพื่อฉีดวัคนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าที่ได้รับวัคซีนซิโรแวค ครบ 2 เข็มแล้ว และมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อโควิด 19 จากการปฏิบัติงานประจำในการดูแลผู้ป่วยเพื่อธำรงไว้ซึ่งระบบบริการสาธารณสุขของประเทศไทย.