ปลดล็อก ชุดตรวจ 'HIV' ด้วยตนเอง วางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ
กรมควบคุมโรค ปลดล็อก ชุดตรวจ "HIV" ด้วยตนเอง ขึ้นทะเบียนรับรอง อย. 2 ชนิด เตรียมวางจำหน่ายในร้านขายยาทั่วประเทศตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคม 2564 นี้เป็นต้นไป
นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์การติดเชื้อ HIV ในประเทศไทยว่า ขณะนี้ประเทศไทย ได้ดำเนินการตามปฏิญญาทางการเมืองที่ประกาศมุ่งมั่นยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 หรือในอีก 9 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ ลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ไม่เกิน 1,000 ราย/ปี ลดการเสียชีวิตจากเอดส์ ไม่เกิน 4,000 ราย/ปี และลดการรังเกียจตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วย ให้ได้ 90 %ซึ่งผลการดำเนินงานได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเครือข่ายภาคประชาสังคม เป็นอย่างดี ทำให้สถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวี ในประเทศขณะนี้ดีขึ้น โดยปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา พบ 4,855 ราย
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวด้วยว่า มาตรการที่ไทยจะนำมาใช้แก้ไขปัญหาเอดส์ในปี 2564 นี้ ก็คือ การสนับสนุนให้ประชาชนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง สามารถใช้ชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อเบื้องต้นด้วยตนเองได้ ซึ่งกรมควบคุมโรคได้ขับเคลื่อนร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) หน่วยงานอื่นๆ ตั้งแต่ พ.ศ.2558 เป็นต้นมา โดยในปี 2564 มีชุดทดสอบ HIV Self Test ผ่านการขึ้นทะเบียนรับรองมาตรฐานจาก อย.แล้ว 2 ชนิด คือ ชุดตรวจหาการติดเชื้อHIV จากการเจาะเลือดปลายนิ้วมือ รู้ผลภายใน 1 นาที และชุดตรวจโดยการใช้น้ำลายอ่านผลได้ใน 20 นาที โดยเตรียมวางจำหน่ายในร้านขายยาทั่วประเทศตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคม 2564 นี้เป็นต้นไป
ซึ่งจะสอดรับกับข้อจำกัดในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงหรือสงสัยว่าติดเชื้อ ไม่สามารถไปตรวจหาเชื้อที่สถานพยาบาลตามปกติ ชุดทดสอบนี้จะทำให้ประชาชนนำไปใช้ตรวจคัดกรองการติดเชื้อเบื้องต้น เพื่อให้รู้สถานะการติดเชื้อของตนเองได้เร็ว
และตรวจยืนยันอีกครั้งที่สถานพยาบาล หากพบว่าติดเชื้อจะเข้าสู่ระบบดูแลรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIVในสถานพยาบาล ทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็วตามสิทธิการรักษา จนสามารถลดเชื้อไวรัสในกระแสเลือดได้ และไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อสู่คนอื่น
ชุดตรวจคัดกรอHIVด้วยตนเอง หรือ HIV self test ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่จะเพิ่มการเข้าถึงการตรวจหาเชื้อได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์ชาย กลุ่มหญิงข้ามเพศ กลุ่มพนักงานบริการ ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น และประชาชนทั่วไป หากพบว่าติดเชื้อ ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างรวดเร็ว ซึ่งในอนาคตนี้ ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ จะนำไปสู่การปรับสูตรยาให้กินง่ายขึ้น ทั้งขนาดและจำนวนลดลง และลดอาการแทรกซ้อนหรือผลกระทบระยะยาวต่อร่างกาย จะทำให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตดีเหมือนคนปกติ
ทางด้านแพทย์หญิงชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์ ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กล่าวเสริมว่า การติดเชื้อ HIV มีการระบาดทั่วโลกตั้งแต่ปี 2524 จนถึงขณะนี้ เกือบ 40 ปีแล้ว มีผู้ติดเชื้อทั่วโลก จำนวน 37.7 ล้านราย เสียชีวิต 36 ล้านราย สาเหตุการติดเชื้อมาจากเพศสัมพันธ์และทางเลือด โดยปัจจุบัน มียาต้านไวรัสรักษา และได้ผลดีมาก สามารถลดจำนวนเชื้อไวรัสHIV ในกระแสเลือดลดลงได้มาก ส่วนวัคซีนในการป้องกันไวรัสHIV ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยในเฟสที่ 3 ดังนั้น มาตรการการป้องกันหลักยังเน้นการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ รวมทั้ง การกินยาต้านไวรัสสำหรับป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อหรือเพร็พ(PrEP) โดยสรุปแล้วปัญหาการติดเชื้อHIV ส่งผลกระทบระดับโลกในระดับสูง
สำหรับสถานการณ์การติดเชื้อHIV ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2527–2563 มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมที่ยังมีชีวิตอยู่ 462,376 คน ในปี 2563 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4,855 คน เสียชีวิต 11,882 คน ผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิต รู้สถานะการติดเชื้อของตนเอง 94.3 % ขณะนี้อยู่ในระบบการรักษาในสถานพยาบาลทั่วประเทศด้วยยาต้านไวรัส 83.5 % ในจำนวนนี้สามารถกดไวรัสได้สำเร็จ 97.2 % จึงเชื่อมั่นว่าเราจะประสบผลสำเร็จในการยุติปัญหาได้ตามเป้าหมาย