สดช.ชี้คนไทยใช้เน็ต 10 ชม.ต่อวัน ทำงาน-เรียนออนไลน์ในช่วงโควิดทะลุ 71%
สดช. เผยผลสำรวจพบคนไทยมีพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตสูง 6 – 10 ชั่วโมงต่อวัน .ทำงานและเรียนจากที่บ้านมากที่สุด รองลงมาเป็นใช้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ พร้อมเล็งเก็บตัวเลขต่อเนื่องทุกปี หวังเป็นถังข้อมูลเก็บผลสำรวจเศรษฐกิจดิจิทัลไทย
นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กล่าวว่า โครงการศึกษาวิจัยไทยแลนด์ ดิจิทัล เอาท์ลุค ระยะที่ 3 เพื่อศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาการเข้าถึง พฤติกรรม และการตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ตในภาคประชาชน การใช้ช่องทางออนไลน์ การลงทุนวิจัยและการพัฒนาทักษะของบุคลากรด้านดิจิทัลทั้งในองค์กรธุรกิจเอกชนและหน่วยงานภาครัฐ โดยได้ทำการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน และหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการปฐมภูมิแก่ประชาชน
โดยได้สำรวจได้ดำเนินการระหว่างเดือนมิ.ย.-ก.ค. 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ได้ประกาศมาตรการควบคุมและบรรเทาเหตุการณ์ดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดที่มีการระบาดอย่างรุนแรง รวมถึงการทำงานแบบจากที่บ้านในองค์กรภาคธุรกิจเอกชนและหน่วยงานรัฐบาล
เธอ ระบุว่า การสำรวจพบว่าประชาชนส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วนถึง 85.1% มีการใช้งานอินเทอร์เน็ต โดยระยะเวลาการใช้งานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6-10 ชั่วโมงต่อวัน โดยวัตถุประสงค์หลักของการใช้อินเทอร์เน็ตในภาคประชาชนเพื่อรองรับการทำงาน 75.2% การรับบริการออนไลน์ทางด้านการศึกษา 71.1% การทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าบริการออนไลน์ 67.4% การติดต่อสื่อสารสนทนา 65.1% การทำธุรกรรมออนไลน์ด้านการเงิน 54.7% กิจกรรมสันทนาการ 53.1% มีส่วนร่วมในการดำเนินการภาครัฐ 49.6% การรับบริการออนไลน์ทางด้านสาธารณสุข 48.6% ติดตามข่าวสารทั่วไป 39.1% การใช้งานด้านอื่นๆ 35.6% การสร้างสรรค์เนื้อหาหรือคอนเทนต์ต่างๆ 28.2% และทำธุรกรรมด้านการท่องเที่ยวออนไลน์ 2.2%
นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่า 76.6% ของประชาชนยังซื้อสินค้าและบริการทางออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีช้อปปี้และลาซาด้าเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ยอดนิยมอันดับต้นๆ การศึกษายังพบว่าประชาชนส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วน 60.7% ใช้บริการออนไลน์ภาครัฐ ยกตัวอย่างเช่น การชำระค่าน้ำและค่าไฟ นอกจากนี้ 64.6% ของประชาชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างยังทำงานโดยใช้การประชุมทางไกลผ่านการประชุมออนไลน์
อย่างไรก็ตาม การศึกษาพบว่า 61.7% ของประชาชนมักเกิดความเครียดบ่อยมากขึ้นเมื่อทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ หากมองถึงความปลอดภัยในการซื้อขายหรือทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ มีเพียงแค่ 43.6% ของประชาชนที่รู้จัก พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ 43.1% ของประชาชนเคยพบปัญหาด้านความปลอดภัยทางเทคโนโลยี การป้องการทางเทคโนโลยีโดยส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนรหัสผ่านในการเข้าระบบเท่านั้น
นอกจากนี้ มีผู้ประกอบการจำนวนมากถึง 88.5% ที่ใช้บริการออนไลน์ภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยื่นภาษีและนำส่งข้อมูลบัญชี เกี่ยวกับปัจจัยทางด้านบุคลากรดิจิทัล 66.4% ของผู้ประกอบการมีการจัดจ้างพนักงานไอที โดยพนักงานเหล่านั้นจะมีหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือและแก้ปัญหาด้านไอที 33.6% ของผู้ประกอบการยังมีการจัดฝึกอบรมพนักงานไอทีอีกด้วย ทางด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล 80.5% ของผู้ประกอบการรู้จัก พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในขณะที่ 27.1% ของผู้ประกอบการเคยพบปัญหาด้านความปลอดภัยทางเทคโนโลยี โดยการป้องกันส่วนใหญ่จะใช้ระบบยืนยันตัวตน