ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 249 จุดได้แรงหนุนจากผลประกอบการบ.ที่แกร่งเกินคาด
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพุธ(20เม.ย.)ปรับตัวขึ้น 249 จุด สวนทางกับดัชนีเอสแอนด์พี500 และดัชนีแนสแด็ก เพราะได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (พีแอนด์จี) และ ไอบีเอ็ม คอร์ป หลังบริษัทเหล่านี้เผยผลประกอบการดีเกินคาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 249.59 จุด หรือ 0.71% ปิดที่ 35,160.79 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปรับตัวลง 2.76 จุด หรือ 0.06% ปิดที่ 4,459.45 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 166.59 จุด หรือ 1.22% ปิดที่ 13,453.07 จุด
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นเกือบ 500 จุดเมื่อวันอังคาร(19เม.ย.) ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งการแสดงความเห็นของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตาและชิคาโกที่แนะนำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
ราคาหุ้นของบริษัทพีแอนด์จี พุ่งขึ้นเกือบ 3% ในการซื้อขายวันนี้ หลังบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาสแรกสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่ราคาหุ้นบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ ดิ่งกว่า 8% หลังเปิดเผยผลประกอบการต่ำกว่าคาด
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังได้รับปัจจัยหนุนจากการชะลอตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีในวันนี้ หลังจากพุ่งขึ้นวานนี้แตะระดับ 2.94% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2561 ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมทั้งในเดือนพ.ค.และมิ.ย.
หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ค.ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นครั้งแรกที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% นับตั้งแต่ปี 2543