ดาวโจนส์ทะยาน 499 จุดขณะนลท.จับตาผลประกอบการ
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(19เม.ย.)พุ่งขึ้น 499 จุด ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) พุ่งขึ้นกว่า 3%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 499.51 จุด หรือ 1.45% ปิดที่ 34,911.20 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 1.61% ปิดที่ 4,462.21 จุด ดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 2.15% ปิดที่ 13,619.66 จุด
ราคาหุ้นของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) พุ่งขึ้นกว่า 3% ในการซื้อขายวันนี้ หลังบริษัทเปิดเผยว่ามีกำไรในไตรมาสแรกสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ J&J ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดขายและกำไรประจำปี 2565 และยุติการให้ตัวเลขคาดการณ์รายได้จากการจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ในปีนี้ อันเนื่องจากภาวะวัคซีนล้นตลาดในขณะนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของอุปสงค์ โดยก่อนหน้านี้ J&J คาดการณ์ในเดือนม.ค.ว่า บริษัทจะมีรายได้จากการจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ราว 3.0-3.5 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดีดตัวขึ้นในวันนี้ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 2.91% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2561 ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้น 8.5% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2524
ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมทั้งในเดือนพ.ค.และมิ.ย.ซึ่งหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ค.ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นครั้งแรกที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% นับตั้งแต่ปี 2543