ต่ออายุผู้นำจีน สะเทือนประเทศไทย
สี จิ้นผิง กำลังจะรับตำแหน่งประธานาธิบดีจีนเป็นสมัยที่ 3 พร้อมประกาศเดินหน้าโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อ อาจผลกระทบถึงการธุรกิจการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทย
ประเทศจีนได้เริ่มการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ตั้งแต่วันที่ 16-22 ต.ค.2565 โดยในการเปิดประชุมที่ผ่านมาได้รับทราบแนวคิดของนายสี จิ้นผิง ที่กำลังจะเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีจีนเป็นสมัยที่ 3 ซึ่งเป็นการประชุมที่ทั่วโลกเฝ้าจับตา เพราะจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางการขับเคลื่อนประเทศจีน หลังจากผ่านวิกฤติหลายเรื่องช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ รวมถึงวิกฤติโควิด-19 วิกฤติพลังงานโลก และวิกฤติเศรษฐกิจโลกถดถอย
สี จิ้นผิง ประกาศอย่างชัดเจนว่าจีนยังคงให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับแรก จะคุ้มครองความปลอดภัยและสุขภาพของประชาชนระดับสูงสุด โดยยังคงดำเนินนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นนโยบายที่จีนใช้มาตลอดในช่วงเกือบ 3 ปี ที่ผ่านมา และได้สร้างความมั่นใจให้กับประเทศจีนว่านโยบายนี้ยังคงสร้างผลบวกในการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 รวมไปถึงผลต่อด้านการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศจีนที่แม้จะมีโอกาสชะลอตัวก็ตาม
จีนยังคงครองอันดับเศรษฐกิจโลกเบอร์ 2 ของโลก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของจีน มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 54 ล้านล้านหยวน ขึ้นมาเป็น 114 ล้านล้านหยวน ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และครองสัดส่วน 18.5% ของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของจีนเพิ่มขึ้นจาก 39,800 หยวน เป็น 81,000 หยวน ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการยกระดับรายได้ของประชาชนให้เพิ่มสูงขึ้นเพื่อสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนจีน
การที่ สี จิ้นผิง ประกาศดำเนินนโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่ออาจทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวของไทยที่เคยคาดหวังหลังการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งนี้จะมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 และทำให้จีนเปิดประเทศมากขึ้น แต่อาจจะไม่เร็วอย่างที่ภาคธุรกิจไทยคาดหวังไว้ ในขณะที่จีนยังมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจช่วงที่เหลือปี 2565 ถึงปี 2566 จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีน รวมทั้งมีความเสี่ยงที่สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีของทั้ง 2 ประเทศ จะยังคงดำเนินต่อไป
สถานการณ์ดังกล่าว ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะส่งผลกระทบถึงการธุรกิจการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทย โดยธุรกิจท่องเที่ยวอาจจะไม่ได้รับปัจจัยบวกตามที่คาดการณ์ แต่ธุรกิจการส่งออกจะเจอปัจจัยเสี่ยงจากการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ซึ่งอาจทำให้การบริโภคลดลงและนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศลดลง โดยเฉพาะการประกาศจีดีพีไตรมาส 3 ของจีนที่จะเป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งทำให้ภาพการเปลี่ยนผ่านสู่ผู้นำสมัยที่ 3 ของประธานาธิบดีจีนครั้งนี้ย่อมสะเทือนถึงประเทศไทย