“ติมอร์เลสเต” กับเส้นชัยสมาชิกอาเซียนลำดับที่ 11
ผู้นำอาเซียนออกแถลงการณ์ติมอร์เลสเตสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มความร่วมมือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 พ.ย.) ทำเอาเซอร์ไพรส์ เพราะผิดคาด และไม่คิดว่าสิงคโปร์จะปล่อยผ่าน ไม่ขวางอย่างที่ผ่านมา
ผู้นำอาเซียนที่ได้รวมตัวกันที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 40 และ 41 รวมทั้งการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในครั้งนี้ได้พิจารณาถึงผลลัพธ์ของภารกิจค้นหาข้อเท็จจริงต่อ "ติมอร์เลสเต" ที่ดำเนินการโดยคณะการเมืองอาเซียน ประชาคมความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคม-วัฒนธรรมอาเซียน
แถลงการณ์ผู้นำอาเซียนระบุว่า ได้ตกลงยอมรับ
1.ในหลักการให้ติมอร์เลสเต “เป็นสมาชิกอาเซียน”
2.ให้สถานะผู้สังเกตการณ์แก่ติมอร์เลสเตและอนุญาตให้มีส่วนร่วมในการประชุมอาเซียนทั้งหมดรวมถึงที่ประชุมสุดยอด
ก่อนหน้านี้ "วรรณวัฒน์ เอมอ่อง" ผู้ช่วยผู้ประสานงานชุดโครงการ “จับตาอาเซียน” (ASEAN Watch) สกสว. ได้วิเคราะห์เส้นทางสู่การเป็นสมาชิกอาเซียนลำดับที่ 11 ที่ไม่มีท่าทีจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ โดยมองว่า
“นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอินโดนีเซียเมื่อปี 2542ติมอร์เลสเตได้แสดงความปรารถนาถึงการเป็นสมาชิกอาเซียนอันจะเห็นได้จากการเข้าร่วมเวทีการประชุมต่างๆ ของอาเซียนอย่างต่อเนื่อง หลังจากได้รับสถานะผู้สังเกตการณ์อาเซียนในปี 2545 ติมอร์เลสเตเข้าร่วมการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาค (ASEAN Regional Forum) ในปี 2548 และร่วมลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation) ในปี 2550”
ถัดมาในปี 2554 ติมอร์เลสเตได้ยื่นเอกสารสมัครเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการ โดยดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อบูรณาการและเป็นส่วนหนึ่งเข้ากับประชาคมอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสถาบันและกลไกการปกครองในประเทศ การตั้งสถานกงสุลหรือสถานทูตประจำในชาติอาเซียน และเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนในทุกนัด รวมถึงการประชุมสุดยอดปี 2562 ที่ไทยรับหน้าที่ประธานด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าติมอร์เลสเตจะผ่านเกณฑ์การเข้าเป็นสมาชิกใหม่ตามมาตรา 6 ของกฎบัตรอาเซียนในเรื่องของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ตลอดจนมีความกระตือรือร้นอย่างมากในการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมของอาเซียนติมอร์เลสเตต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการที่ยังไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของอาเซียนได้ ซึ่งก็มีเหตุผลดังต่อไปนี้
ประการแรก ชาติอาเซียนบางประเทศ (สิงคโปร์) เห็นว่าติมอร์เลสเตนั้นยังไม่มีศักยภาพมากพอที่จะดำเนินภารกิจในกรอบของอาเซียนได้ อาทิ การจ่ายค่าส่วนกลางสำหรับการบริหารกิจการอาเซียน การจัดประชุมสุดยอดในฐานะประธานอาเซียน และการฝึกซ้อมทางทหารกับชาติมหาอำนาจ เป็นต้น
การที่ติมอร์เลสเต ซึ่งเป็นประเทศเกิดใหม่มีประชากรเพียงแค่ 1 ล้านคน และมี GDP เพียงแค่ 2,900 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ทำให้ชาติอาเซียนบางประเทศไม่มั่นใจว่าติมอร์เลสเตจะสามารถปฏิบัติตามภารกิจของอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากต้องใช้บุคลากรและงบประมาณเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีประเด็นด้านช่องว่างของระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจระหว่างติมอร์เลสเตกับชาติสมาชิกอาเซียนอื่นๆ อันจะส่งผลให้เกิดการชะลอการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
ประการที่สอง ชาติอาเซียนบางประเทศยังกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศของตนหากอาเซียนรับติมอร์เลสเตเข้าเป็นสมาชิกใหม่ จากการจัดลำดับดัชนีเสรีภาพสื่อโดยองค์กรนักข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders) ติมอร์เลสเตจัดได้ว่าเป็นประเทศให้เสรีภาพสื่อมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 84 ในขณะที่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเมียนมาอยู่ในอันดับที่ 124,134 และ 138 ตามลำดับ
ดังนั้นนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านอาเซียนต่างๆ เช่นกวี จงกิจถาวร และนาย Truston Jianheng Yu ได้เสนอความเห็นลงหนังสือพิมพ์อย่างในบางกอกโพสต์ และจาการ์ตาโพสต์ตามลำดับ ไปในทิศทางเดียวกันว่าหากติมอร์เลสเตได้เป็นสมาชิกอาเซียน ชาติคู่เจรจาอาเซียนที่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย หรือองค์กรภาคประชาสังคมอาจยกติมอร์เลสเตเป็นกรณีตัวอย่างในการเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองในชาติอาเซียน
แม้ว่าจะมีเหตุผลมากมายที่ชาติอาเซียนบางประเทศยังไม่ยอมรับติมอร์เลสเตเข้าเป็นสมาชิกใหม่ แต่ปัจจุบันอาเซียนก็ได้พิจารณาถึงประโยชน์ในระยะยาว ที่ว่าติมอร์เลสเตนั้นมีกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund)ซึ่งรายได้หลักมาจากทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญคือ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติอันมีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าถึง 2หมื่นล้านดอลลาร์ในอีกหนึ่งทศวรรษข้างหน้า และรายได้ดังกล่าวอาจจะเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญของอาเซียนในการเสริมสร้างการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
ยิ่งไปกว่านั้นการรับติมอร์เลสเตเข้าเป็นสมาชิกจะเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและหมุดหมายความสำเร็จครั้งสำคัญของอาเซียน ที่แสดงให้เห็นว่าอาเซียนมีส่วนสำคัญต่อการสร้างสันติภาพในภูมิภาค รวมถึงในกรณีที่อินโดนีเซียสามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศเพื่อนบ้านที่เคยมีความขัดแย้งและได้แยกตัวเป็นเอกราชออกไปแห่งนี้