ปฏิรูป‘การเงิน-เทคโนโลยี’ อาวุธหลักฟื้นเศรษฐกิจจีน
ปฏิรูป‘การเงิน-เทคโนโลยี’ อาวุธหลักฟื้นเศรษฐกิจจีน ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้เป็นอีกหนึ่งความพยายามของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในการกุมอำนาจการบริหารให้แน่นแฟ้นเบ็ดเสร็จมากขึ้น
ช่วงนี้เศรษฐกิจจีนที่แผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด แถมยังมีปัจจัยภายนอกที่ทำให้จีนต้องออกมาเคลื่อนไหวทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญในประเทศไม่ให้ตกเป็นรองคู่แข่งจากชาติตะวันตก จึงเป็นที่มาคำประกาศของผู้นำจีนในการประชุมประจำปีสภาประชาชนแห่งชาติของจีน (เอ็นพีซี) ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันอาทิตย์( 5 มี.ค.)ที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศเป็นสมัยที่ 3 ประกาศเดินหน้าปฏิรูปครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี
ที่รวมถึงยกเครื่องการกำกับดูแลระบบการเงิน ส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคส่วนดังกล่าวของจีนมีความก้าวหน้า ทัดเทียมกับบรรดาชาติตะวันตก
การยกเครื่องครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดปฏิรูปรัฐมนตรีในสภาแห่งรัฐของจีน คณะรัฐมนตรีของจีน รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลทางการเงินชุดใหม่ จัดระเบียบกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ และสร้างหน่วยงานขึ้นมาเพื่อดูแลข้อมูลจำนวนมหาศาลของจีนโดยเฉพาะ
ผู้สังเกตุการณ์หลายฝ่ายมองว่า ความเคลื่อนไหวนี้เป็นอีกหนึ่งความพยายามของประธานาธิบดีสี ในการกุมอำนาจการบริหารจัดการของตนเองให้แน่นแฟ้นเบ็ดเสร็จมากขึ้น
ภายใต้แผนยกเครื่องนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่จะพยายามรวมการศึกษาและการวิจัยเข้ากับการใช้งานจริง เช่นเดียวกับการจัดตั้งระบบการถ่ายทอดเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้การพัฒนาด้านเทคโนโลยีของจีนไล่ตามชาติตะวันตกให้ทัน
ประธานาธิบดีสี ยังตอกย้ำว่า จีนให้ความสำคัญกับการสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ หลังถูกกีดกันจากรัฐบาลสหรัฐ ทั้งยังประกาศว่าจีนจำเป็นต้องพึ่งพาตนเองในเทคโนโลยีระดับสูงนี้
“รอรี กรีน” นักเศรษฐศาสตร์จากทีเอส ลอมบาร์ด มีความเห็นว่า การยกเครื่องครั้งนี้เป็นความพยายามในการปรับโครงสร้างพรรคและโครงสร้างรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบายระยะยาวในการพัฒนาประเทศเพื่อสร้างรูปแบบเศรษฐกิจการเมืองที่เจริญรุ่งเรืองร่วมกันของประธานาธิบดีสี
นอกจากการปฏิรูปด้านการเงินและเทคโนโลยีแล้ว จีนยังแสดงท่าทีชัดเจนในการปฏิรูประบบการเงินของประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลทางการเงินของรัฐจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการธนาคารและประกันภัยในปัจจุบัน เพื่อดูแลกิจกรรมทั้งหมดในภาคส่วนเหล่านั้นนอกเหนือจากอุตสาหกรรมหลักทรัพย์
“เสี่ยว จื้อ” เลขาธิการคณะรัฐมนตรีจีน กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปเพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวด้านการเงิน และนำกิจกรรมทางการเงินทุกประเภทมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ โดยความรับผิดชอบของคณะกรรมการชุดใหม่จะรวมถึงการกำกับดูแลกลุ่มบริษัททางการเงินและการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งหน้าที่เหล่านี้เคยดำเนินการบางส่วนโดยธนาคารกลางจีน และหน่วยงานกำกับดูแลตลาดอย่างคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีน (ซีเอสอาร์ซี)
ซีเอสอาร์ซีจะเป็นหน่วยงานที่ได้รับการยกระดับให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น ครอบคลุมถึงการรายงานโดยตรงต่อคณะรัฐมนตรี และเข้าตรวจสอบการออกพันธบัตร รวมถึงตราสารหนี้หลายพันล้านดอลลาร์ ที่ออกโดยหน่วยงานจัดหาเงินทุนของรัฐบาลท้องถิ่น (LGFVs) ที่ขณะนี้มีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนจะจัดตั้งสำนักงานข้อมูลแห่งชาติ (National Data Bureau) เพื่อดูแลและปกป้องข้อมูลจำนวนมหาศาลของประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามยกเครื่องระบบบริหารจัดการประเทศ
ภายใต้แผนยกเครื่องหน่วยงานรัฐครั้งใหญ่นี้ รัฐบาลจีนยังเตรียมลดจำนวนพนักงานในสถาบันของรัฐลง 5% เดินหน้าปรับปรุงสำนักงานท้องถิ่นของธนาคารกลางจีน และปรับค่าตอบแทนของพนักงานในระบบกำกับดูแลทางการเงินให้ได้รับค่าจ้างแบบเดียวกับข้าราชการ ซึ่งอาจนำไปสู่การลดค่าจ้าง
บรรดาผู้สังเกตการณ์มีความเห็นว่า การประกาศยกเครื่องหน่วยงานของจีนครั้งนี้แสดงให้เห็นจุดยืนของจีนในการที่จะยืนหยัดพึ่งพาตนเอง และเพิ่มขีดความสามารถให้สามารถแข่งขันกับชาติตะวันตกได้อย่างเท่าเทียม
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ประธานาธิบดีสี เรียกร้องให้ภาคเอกชนช่วยสนับสนุนจีนให้สามารถเอาชนะ “การถูกกักกัน” โดยสหรัฐและกลุ่มชาติตะวันตก ด้วยการเสริมสร้างนวัตกรรมและมีบทบาทมากขึ้นในการสร้าง “เอกราชทางเทคโนโลยี”
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า คำกล่าวนี้ของปธน.สี ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐโดยตรง และเน้นย้ำถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐกับจีน โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้เกิดความกังวลว่าทั้งสองประเทศจะกำหนดมาตรการความปลอดภัยเพื่อลดโอกาสในการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้หรือไม่ แม้ผู้นำทั้งสองประเทศเคยให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงความสัมพันธ์ของสองชาติในการประชุมในเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว แต่หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ดังกล่าวกลับย่ำแย่ลง
ขณะที่ ฉิน กัง รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของจีนและอดีตเอกอัคราชทูตจีนประจำสหรัฐ ให้สัมภาษณ์ซีเอ็นบีซี เกี่ยวกับจุดยืนความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐว่า จีนจะยึดมั่นในการดำเนินความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและมั่นคงกับสหรัฐ แต่ก็ยอมรับว่าแนวทางดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าจีนจะต้องนิ่งเงียบ ในขณะที่มองดูสหรัฐออกมาตรการกีดกันที่สร้างความขัดแย้งมากขึ้น
ฉิน กัง ย้ำด้วยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐจะถูกกำหนดโดยผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายมีร่วมกัน รวมทั้งการแสดงความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งสองประเทศ