อย่าตระหนกบัฟเฟตต์ขาย ‘Apple’ นักวิเคราะห์มองสวน นี่ไม่ใช่เวลากดปุ่มขาย
‘บัฟเฟตต์’ ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน ‘Apple.Inc’ เกือบครึ่งหนึ่ง แต่นักวิเคราะห์แนะนักลงทุนให้ใจเย็นไว้ โดยมองว่า การลดสัดส่วนเป็นเพียงบริหารความเสี่ยงมากกว่าสูญเสียความเชื่อมั่น
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จากเหตุการณ์บริษัทโฮลดิ้ง “Berkshire Hathaway” ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ลดสัดส่วนการถือหุ้น “แอปเปิ้ล อิงค์” (Apple.Inc) บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ลงเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมด อาจเป็นสัญญาณว่า บัฟเฟตต์ขาดความเชื่อมั่นในอนาคตการเติบโตของผู้ผลิต iPhone นี้หรือไม่ แต่บรรดานักวิเคราะห์ด้านการลงทุนแนะนำให้นักลงทุนมองข้ามข่าวนี้ และใจเย็นไว้ก่อน
โจ กิลเบิร์ต ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโออาวุโสของ Integrity Asset Management กล่าวว่า “การลดสัดส่วนการถือหุ้น Apple ของบัฟเฟตต์เป็นเพียงการบริหารความเสี่ยง หากเขากังวลเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินธุรกิจในระยะยาวของ Apple บัฟเฟตต์จะขายหุ้นทั้งหมดออกไปแล้ว เช่นเดียวกับการลดสัดส่วนการถือหุ้นอื่น ๆ ของ Berkshire บัฟเฟตต์มีกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจำนวนมาก”
การเปิดเผยพอร์ตการลงทุนของ Berkshire นี้ เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ Apple ประกาศผลประกอบการรายไตรมาส ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการกลับมาเติบโตของรายได้และส่งสัญญาณว่าฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่จะช่วยเพิ่มยอดขาย iPhone ในไตรมาสต่อ ๆ ไป ราคาหุ้น Apple ทรงตัวหลังจากรายงานผลประกอบการ และสุดท้ายปิดตลาดในสัปดาห์ด้วยราคาที่สูงขึ้น แม้ว่าตลาดโดยรวมจะเผชิญแรงเทขายก็ตาม
แม้ว่ากลยุทธ์การลงทุนของบัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ “ปรมาจารย์แห่งโอมาฮา” ยากที่จะเพิกเฉย แต่สัดส่วนการถือหุ้น Apple ของ Berkshire นั้นเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนนักลงทุนบางรายเริ่มสงสัยว่า บริษัทจะต้องลดสัดส่วนการถือครองเพื่อปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนหรือไม่ แม้จะลดสัดส่วนการถือครองแล้ว Apple ยังคงเป็นการลงทุนรายเดียวที่ใหญ่ที่สุดของ Berkshire
แคธี เซเฟิร์ต นักวิเคราะห์การลงทุนของ CFRA กล่าวว่า “หากคุณมีพอร์ตหุ้นขนาดใหญ่ คุณจะทำกำไรบางส่วน และลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของหุ้นในพอร์ต อย่างไรก็ดี พวกเขายังคงมีพอร์ตการลงทุนที่ค่อนข้างกระจุกตัว”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Berkshire ลดสัดส่วนการถือหุ้นแอปเปิ้ล ในการประชุมประจำปีเมื่อเดือนพฤษภาคม บริษัทเปิดเผยว่าได้ลดสัดส่วนการถือครองในไตรมาสแรกของปี โดยในเวลานั้น บัฟเฟตต์ใบ้ให้นักลงทุนว่า “ภาษี” อาจเป็นปัจจัยหนึ่งต่อการขายหุ้น
การเทขายหุ้น Apple เกือบครึ่งหนึ่งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้น ข้อมูลการจ้างงานเมื่อวันศุกร์ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้เกิดความวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยช้าเกินไป ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq 100 เข้าสู่การปรับฐานทางเทคนิค และดัชนีความผันผวน CBOE พุ่งขึ้นไปใกล้ระดับ 25
นอกจากนี้ ราคาหุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่น ๆ อย่าง Microsoft, Amazon.com และ Alphabet ต่างก็ร่วงลงมาจากจุดสูงสุดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยรวมแล้ว มูลค่าบริษัทในดัชนี Nasdaq 100 ลดลงไปกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ โดยทั้ง Nvidia และ Tesla ต่างประสบราคาหุ้นลดลงมากกว่า 20% แต่ในทางกลับกัน ราคาหุ้นของ Apple ลดลงเพียงประมาณ 6% จากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ไบรอัน มัลเบอร์รี ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของลูกค้าจาก Zacks Investment Management กล่าวว่า “เป็นไปได้ว่า Berkshire เหมือนกับนักลงทุนจำนวนมากที่ต้องการเห็นหลักฐานเพิ่มเติมว่า การลงทุนใน AI ของ Apple จะสร้างผลตอบแทนจากการเติบโตของรายได้ และยังไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเร็วพอ”
สำหรับมูลค่าตลาดต่อกำไรในอนาคตของ Apple อยู่ที่ 33 เท่า ณ กลางเดือนกรกฎาคม สูงกว่าดัชนี S&P 500 ถึง 11 จุด ซึ่งเป็นช่องว่างที่เคยเกิดขึ้นครั้งล่าสุดหลังจากวิกฤตการณ์การเงินและการระบาดของโควิด-19 แต่ถึงแม้จะมีมูลค่าที่สูงกว่า มัลเบอร์รียังคงคิดว่า การถือครองหุ้น Apple ยังคงมีความสมเหตุสมผล เพราะมีฐานะทางการเงินดี และยังคงมีกำไรเติบโตเร็วกว่าตลาดโดยรวม
ไม่เพียงเท่านั้น แดน ไอเวส นักวิเคราะห์จาก Wedbush ชี้ให้เห็นถึงความภักดีต่อแบรนด์ Apple และการเติบโตในอนาคต โดยมองว่า Apple กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของวงจรการอัพเกรดครั้งใหญ่ที่จะผลักดันให้รายได้เติบโตในปี 2568 และ 2569
“แม้ว่าบางคนอาจมองว่านี่เป็นสัญญาณของความกังวล แต่ Apple เพิ่งส่งมอบผลประกอบการที่แข็งแกร่งพร้อมกับซูเปอร์ไซเคิลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในอนาคต เราไม่มองว่านี่เป็นเวลาที่จะกดปุ่มขาย” ไอเวสกล่าว
แน่นอนว่า Apple ไม่ใช่หุ้นเพียงตัวเดียวที่ Berkshire ลดสัดส่วนการถือครองล่าสุด บริษัทได้ลดหุ้นของ Bank of America ลง 8.8% นับตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม บางคนมองว่านี่เป็นสัญญาณว่าบัฟเฟตต์ไม่ได้เห็นปัญหาเฉพาะเจาะจงใด ๆ กับทั้งสองบริษัท แต่กลับมองว่าผู้บริโภคชาวอเมริกันและเศรษฐกิจโดยรวมกำลังจะอ่อนตัวลง
ขณะที่จิม อาวาด ผู้จัดการฝ่ายบริหารอาวุโสของ Clearstead Advisors มองว่า “บัฟเฟตต์อาจรู้สึกว่าเรากำลังจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้นการเพิ่มเงินสดในตอนนี้จะทำให้เขาสามารถซื้อบริษัทในราคาถูกได้ในภายหลัง เขาอาจได้กลิ่นโอกาสที่จะมาถึง”
อ้างอิง: bloomberg