‘เวียดนาม’ ล้างบางการโกง ปลดรองนายกฯอีกครั้ง สะเทือนเสถียรภาพรัฐบาล?
เขย่าวงการการเมือง สภาแห่งชาติเวียดนามตัดสินใจปลด ‘เลอ มิงห์ ไค’ รองนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง เนื่องจากพัวพันกับคดีทุจริตโครงการรีสอร์ทใหญ่ ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเมืองและกระทบต่อการลงทุนในระยะยาว
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สภาแห่งชาติเวียดนามได้ “ปลดรองนายกรัฐมนตรี” อีกคนหนึ่งที่ชื่อ “เลอ มิงห์ ไค” ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากการละเมิดกฎการต่อต้านการทุจริต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตที่นำโดย เหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ที่ล่วงลับไปแล้ว
ไคถูกลงโทษเนื่องจากพัวพันกับคดีทุจริตโครงการรีสอร์ทใหญ่ Dai Ninh ในจังหวัด Lam Dong อีกทั้งไม เทียน ยวุ๋ง อดีตหัวหน้าสำนักงานรัฐบาล ก็ถูกตำรวจจับกุมในเดือนพฤษภาคมซึ่งเกี่ยวกับการสอบสวนโครงการดังกล่าว
นอกจากนี้ สภาแห่งชาติยังได้ปลดรองนายกรัฐมนตรี เจิ่น หลัวกวาง ออกเช่นกัน ซึ่งเขากลายเป็นผู้นำของคณะกรรมการเศรษฐกิจส่วนกลางของพรรค
ขณะเดียวกัน รัฐสภาได้แต่งตั้งรองนายกรัฐมนตรีใหม่สามคน ได้แก่ บุ่ย แทงห์ เซิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, โฮ ดึ๊ก ฟ็อก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ เหงียน ฮวา บิญ ซึ่งเคยเป็นประธานศาลประชาชนสูงสุดของเวียดนาม
ทั้งนี้ การรณรงค์ต่อต้านทุจริต ได้ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงและผู้บริหารธุรกิจจำนวนมากในเวียดนามถูกจับกุม โดยมีประธานาธิบดีสองคน รองนายกรัฐมนตรีอีกสองคน และเจ้าหน้าที่พรรคอื่น ๆ ที่ลาออกจากตำแหน่งก่อนหน้านี้
“แคมเปญเตาเผาทุจริตอันลุกโชน” ซึ่งเหวียน ฝู จ่องเรียกเช่นนั้น ยังคงได้รับความนิยมในหมู่ชาวเวียดนามเป็นจำนวนไม่น้อย โดยแคมเปญขับเคลื่อนการต่อต้านทุจริตของเวียดนามได้ช่วยยกระดับการจัดอันดับของประเทศจากอันดับ 113 ในปี 2016 มาอยู่ที่อันดับ 83 ในปีที่แล้วในดัชนีการรับรู้การทุจริตขององค์กรความโปร่งใสสากล
อย่างไรก็ตาม เจียง งุยเหวียน นักวิจัยอาวุโสจาก ISEAS-Yusof Ishak Institute ในสิงคโปร์กล่าวว่า เหล่านักธุรกิจชาวเวียดนามได้แสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ว่า รัฐบาลกำลังตกอยู่ในภาวะชะงักงัน เพราะความกลัวที่จะถูกจับกุมในระหว่างการสอบสวนการทุจริต
“การปราบปรามทุจริตของเวียดนามอาจนำไปสู่ลัทธิชาตินิยมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลัทธิสังคมนิยม อันเกิดขึ้นในจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งเป็นท่าทีที่ไม่ค่อยเป็นมิตรต่อผู้ลงทุนต่างชาติ” เจียงกล่าว
อ้างอิง: bloomberg