เปิดวาทะ'สี จิ้นผิง'ถึงปูติน ‘โลกโกลาหลแต่มิตรภาพยั่งยืน’

เปิดวาทะ'สี จิ้นผิง'ถึงปูติน  ‘โลกโกลาหลแต่มิตรภาพยั่งยืน’

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนกล่าวกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย สถานการณ์โลกโกลาหล แต่ความเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของปักกิ่งกับมอสโกเป็นพลังแห่งเสถียรภาพท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุดในรอบศตวรรษ

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงาน ประธานาธิบดีสีกล่าวกับประธานาธิบดีปูติน ในพิธีเปิดการประชุมผู้นำ BRICS ที่เมืองคาซานของรัสเซีย เมื่อวันอังคาร (22 ต.ค.)

“ขณะนี้โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยพบเห็นในรอบร้อยปี สถานการณ์โลกสับสนวุ่นวายแต่ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่ามิตรภาพระหว่างจีนและรัสเซียจะคงอยู่ต่อไปอีกหลายชั่วอายุคน และความรับผิดชอบของประเทศยิ่งใหญ่ที่มีต่อประชาชนของตนจะไม่เปลี่ยนแปลง”

ด้านปูตินเรียกสี “เพื่อนรัก” และว่า ความเป็นพันธมิตรกับจีนเป็นพลังของการสร้างเสถียรภาพในโลก

“ความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับจีนในกิจการโลกเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักสร้างเสถียรภาพในเวทีโลก เราตั้งใจกระชับความร่วมมือให้ยิ่งๆ ขึ้นไปในทุกเวทีพหุภาคี เพื่อรับรองความมั่นคงของโลกและระเบียบโลกที่เป็นธรรม” ปูตินกล่าว

 สีตอบว่าความร่วมมือในกลุ่ม BRICS เป็น "เวทีสำคัญที่สุดสำหรับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวและร่วมมือกันระหว่างประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาในโลกวันนี้เป็น “พลังหลักในการส่งเสริมให้เกิดการตระหนักรู้ถึงโลกหลากขั้วอย่างเท่าเทียมและเป็นระเบียบ รวมถึงโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและอดกลั้น”

ก่อนหน้านั้นในเดือน พ.ค. สีและปูตินได้คำมั่นถึง “ยุคใหม่” แห่งความเป็นพันธมิตรระหว่างสองคู่แข่งทรงพลังที่สุดของสหรัฐ ที่พวกเขามองว่าเป็นมหาอำนาจสงครามเย็นที่ก้าวร้าวสร้างความโกลาหลไปทั่วโลก

ขณะนี้รัสเซียกำลังทำสงครามอยู่กับยูเครนที่ได้นาโตส่งอาวุธมาช่วย ส่วนจีนก็ถูกสหรัฐกดดันเนื่องจากแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจและการทหารมากขึ้น  รัสเซียและจีนจึงมีประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ร่วมกันทุกขณะ

รัสเซียและจีนพยายามลบภาพความอัปยศจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 และการที่จีนเป็นอาณานิคมยุโรปมาหลายร้อยปี ด้วยการพรรณนาว่าตะวันตกกำลังทรุดโทรมเสื่อมถอย

สหรัฐนั้นมองจีนเป็นคู่แข่งใหญ่สุด รัสเซียเป็นภัยคุกคามรัฐชาติใหญ่สุด ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยกล่าวด้วยว่า ประชาธิปไตยกำลังเผชิญความท้าทายจากอำนาจนิยมอย่างจีนและรัสเซีย

ไบเดนเคยเรียกสี “เผด็จการ” เรียกปูติน “นักฆ่า” ถึงขนาดเรียก “crazy SOB” ด้วยซ้ำไป ซึ่งรัฐบาลปักกิ่งและมอสโกไม่พอใจคำพูดของไบเดนอย่างมาก