‘เวียดนาม’ได้ประโยชน์มากสุดจากสงครามการค้า
ในอนาคต อาจเกิดความปั่นป่วนมากขึ้นในซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์ เพราะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนเกี่ยวกับเทคโนโลยี
ผลสำรวจล่าสุดชี้ “เวียดนาม” เป็นประเทศที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน เหตุผู้นำเข้าเปลี่ยนมาสั่งซื้อสินค้าจากเวียดนามแทนจีนเพื่อเลี่ยงอัตราภาษีที่สูงขึ้น ด้านมาเลเซียรั้งอันดับ 4
บริษัทโนมูระ โฮลดิ้งส์ ผู้ให้บริการด้านการเงินและสินทรัพย์ของญี่ปุ่น เผยผลการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่า เวียดนาม หนึ่งในประเทศเติบโตเร็วที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีพรมแดนติดกับจีน ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากการเบี่ยงเบนทิศทางการค้าสำหรับสินค้าที่ถูกเก็บภาษีนำเข้าในสงครามการค้านี้คิดเป็นสัดส่วน 7.9% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในรอบปีนับถึงไตรมาสแรกของปี 2562
บรรดานักวิเคราะห์ของโนมูรคาดการณ์ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นสำหรับ 50 เศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลกในช่วง 12 เดือน
นายร็อบ ซับบารามาน นายโซนาล วาร์มา และนายไมเคิล หลู3 นักวิเคราะห์ของโนมูระ ระบุในรายงานว่า นอกจากเวียดนามแล้ว ไต้หวันยังเป็นเศรษฐกิจที่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนมากที่สุดอันดับ2 ด้วยสัดส่วน 2.1% ต่อจีดีพี ตามมาด้วยชิลี 1.5% มาเลเซีย 1.3% และอาร์เจนตินา 1.2%
ทั้งนี้ เวียดนามและไต้หวันได้รับประโยชน์จากการที่สหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมากกว่าที่จีนขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐ
ผลการศึกษาชี้ว่า คำสั่งซื้อจากอเมริกาและจีนมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์ที่ถูกเก็บภาษีนำเข้า 1,981 ชนิดในศึกการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน
“ผลสำรวจของเราครอบคลุมผลิตภัณฑ์นำเข้าจากจีนที่ถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีมูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ และผลิตภัณฑ์นำเข้าจากสหรัฐที่ถูกจีนเรียกเก็บภาษีมูลค่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์” โนมูระเผย
การที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน กระตุ้นให้เกิดการทดแทนการนำเข้าในผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่ ตามมาด้วยเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์การเดินทาง ส่วนการที่จีนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ ทำให้คำสั่งซื้อถั่วเหลือง เครื่องบิน ธัญพืช และฝ้าย มีแนวโน้มสูงที่สุดที่จะย้ายจากสหรัฐไปยังประเทศที่สามอย่างชิลีและอาร์เจนตินา
บรรดานักวิเคราะห์ของโนมูระ คาดว่า ในอนาคตอาจเกิดความปั่นป่วนมากขึ้นในซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนเกี่ยวกับเทคโนโลยี รวมถึงการที่สหรัฐขัดขวางธุรกิจของยักษ์ใหญ่จีนอย่าง “หัวเว่ย เทคโนโลยีส์” และ “แซดทีอี คอร์ป”
ผลสำรวจยังชี้ว่า กว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทอเมริกันชั้นนำ20 รายซึ่งจดทะเบียนในดัชนีเอสแอนด์พี500 ที่มีการขายสุทธิในจีน เป็นบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยรายได้รวมกัน 1.44 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
นอกจากนั้น โนมูระพบว่า จีนสูญเสียมูลค่าจีดีพีของตน 0.5% จากการเบี่ยงเบนทิศทางการค้าดังกล่าว ขณะที่สหรัฐสูญเสียมูลค่าจีดีพี 0.3%