'เมียนมา' หลังเลือกตั้ง
ส่องการเมืองของเมียนมา หลังจากเพิ่งผ่านการเลือกตั้งไปหมาดๆ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และเป็นชัยชนะทางการเมืองครั้งสำคัญของพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ที่นำโดยนางอองซาน ซูจี จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?
การเลือกตั้งทั่วไปของเมียนมาที่มีขึ้นเมื่อ 8-10 พ.ย.2563 นับเป็นชัยชนะทางการเมืองครั้งสำคัญของพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy : NLD) ที่นำโดยนางอองซาน ซูจี เพราะได้รับเลือกตั้งเข้าดำรงตำแหน่ง ส.ส.และ ส.ว.ในสภาผู้แทนราษฎร (Pyithu Hluttaw) และวุฒิสภา (สภากลุ่มชาติพันธุ์) (Amyotha Hluttaw) ตามลำดับเป็นจำนวนมากถึงประมาณร้อยละ 60 ของสภา ขณะที่พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party : USDP) พรรคคู่แข่งหลัก ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเมียนมาพ่ายขาดลอย ได้ที่นั่งแค่หลักสิบหลักหน่วยในสภาเท่านั้น
การที่พรรค NLD ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย ได้ที่นั่งมากกว่าการเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อนเมื่อปี 2559 อาจเพราะประชาชนหวั่นเกรงต่อท่าทีของกองทัพเมียนมาที่พยายามแทรกแซงทางการเมืองก่อนหน้านั้น จึงพากันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในเชิงยุทธศาสตร์ให้พรรค NLD ซึ่งเป็นหลักพรรคเดียวที่เป็นคู่แข่งกับกองทัพ เพื่อหวังให้พรรค NLD ได้จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้อีกหนึ่งสมัย ทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณว่าชาวบ้านไม่ต้องการกลับไปสู่วงจรเดิมที่อาจนำไปสู่การปกครองภายใต้รัฐบาลทหารอีกแล้ว
แม้ว่าพรรค NLD จะได้รับเลือกตั้งเป็นส่วนใหญ่ในแทบทุกรัฐ แต่มี 2 รัฐที่ผู้สมัครของพรรค NLD เป็นรอง ทั้งสองรัฐนี้เป็นปัญหาเรื้อรังอยู่ก่อนแล้ว คือ รัฐยะไข่ (Rakhine) ที่วุ่นวายสามสี่เส้าระหว่างกองทัพ ชาวพุทธ มุสลิมโรฮิงญาและชาวพื้นเมืองผู้เรียกร้องเอกราช
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งในรัฐได้ถึง 9 เขต ที่จัดการเลือกตั้งได้ชาวบ้านก็มักเลือกผู้สมัครของพรรค Arakan National Party (ANP) ซึ่งเรียกร้องเอกราชและต่อต้านชาวมุสลิม คาดว่าในปี 2564 กระแสเรียกร้องเอกราชในรัฐยะไข่จะรุนแรงยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับแรงกดดันเรื่องสิทธิมนุษยชนจากชาติตะวันตก
อีกรัฐหนึ่งคือ รัฐฉาน (Shan) ที่ปรากฏความขัดแย้งของกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่ม โดยเฉพาะทางตอนเหนือที่กองกำลังติดอาวุธเชื้อสายไทยใหญ่ กะฉิ่นและปะหล่อง ยังคงสู้รบกับรัฐบาล แม้ว่ากองทัพเมียนมาจะประกาศหยุดยิงเพียงฝ่ายเดียวเมื่อ 1 มิ.ย.2563 แต่ความรุนแรงยังคงมีอยู่สูง ประชาชนแบ่งเป็นฝักฝ่ายโดยถ้าไม่เลือกผู้สมัครจากพรรค NLD ก็จะเป็นผู้สมัครของพรรค Shan National League for Democracy (SNLD) ซึ่งเรียกร้องผลประโยชน์ของชาวไทยใหญ่เป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมีการลอบสังหารผู้นำของแต่ละฝ่ายอย่างต่อเนื่อง เมื่อ 22 มิ.ย.2563 ก็เกิดเหตุลอบยิง ส.ว.พรรค NLD ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งเสียชีวิต คาดว่าในปี 2564 รัฐฉานยังคงไม่มีเสถียรภาพ และรัฐบาลยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ กับกลุ่มต่างๆ
การครองเสียงข้างมากในสภาของพรรค NLD จะทำให้ได้เป็นรัฐบาลต่อไปอีกสมัยหนึ่ง โดยรัฐบาลใหม่จะเข้าทำหน้าที่ในเดือน มี.ค.2564 โดยจะมีการคัดเลือกประธานาธิบดีคนใหม่แทนที่นายวิน มินท์ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีรักษาการตั้งแต่ปี 2561
การคัดเลือกดังกล่าวมี 2 ขั้นตอนคือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และสมาชิกรัฐสภาสายทหาร ต่างเลือกตัวแทนในโควตาของกลุ่มตน รวม 3 คน มาให้รัฐสภาลงมติในขั้นสุดท้าย ผู้ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดจะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดี ทั้งนี้ ด้วยคะแนนเสียงที่มีน่าจะทำให้ตัวแทนของพรรค NLD ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีค่อนข้างแน่นอน แม้ว่าปัจจุบันยังไม่แน่ชัดว่านางอองซาน ซูจี ซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุดในพรรคจะเลือกผู้ใดเป็นตัวแทน
ผู้ที่ได้รับการจับตามองว่าน่าจะมีโอกาสมากที่สุดคือนายเพียว มินเต็ง มุขมนตรีภาคย่างกุ้ง วัย 51 ปี ซึ่งเคยเป็นผู้นำนักศึกษาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทหารเมื่อปี 2531 เขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้รับความนิยมจากประชาชน มีความใกล้ชิดกับนางซูจีและประสานประโยชน์กับจีนได้เป็นอย่างดี แต่ผู้อาวุโสภายในพรรค NLD ไม่ค่อยชอบหน้า ทั้งอาจทำให้ความขัดแย้งระหว่างพรรค NLD กับกองทัพเมียนมาขยายตัว
กองทัพเมียนมายังคงรักษาอิทธิพลทางการเมืองไว้ ผ่านทางรัฐสภาซึ่งสงวนที่นั่งร้อยละ 25 ไว้ให้ตัวแทนของกองทัพ และกระทรวงด้านความมั่นคงที่กองทัพเป็นผู้แต่งตั้ง รมว.กลาโหมรมว.มหาดไทย และ รมว.กระทรวงกิจการชายแดน ประเพณีปฏิบัติที่กองทัพมักเกี่ยวข้องกับการใช้กำลังโดยตรงในพื้นที่ขัดแย้ง น่าจะทำให้โอกาสการปะทะกันระหว่างกองทัพกับกองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงมีอยู่สูง
เช่นเดียวกับความขัดแย้งกับชนพื้นเมืองในรัฐต่างๆ ซึ่งเป็นผลทำให้ถูกชาติตะวันตกกดดันด้านสิทธิมนุษยชนต่อไป ถึงกองทัพจะพยายามประสานประโยชน์กับรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศ แต่ด้วยอุดมการณ์พื้นฐานที่ยึดถือต่างกัน น่าจะต้องขบกัดกันเป็นระยะ โดยเฉพาะเรื่องการพยายามแก้รัฐธรรมนูญของพรรค NLD
นอกเหนือจากปัญหาที่กล่าวขั้นต้น รัฐบาลเมียนมายังคงต้องแก้ไขปัญหาที่สำคัญอื่น โดยเฉพาะปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นในห้วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยตั้งแต่ 1 ต.ค.2563 มีผู้ติดเชื้อมากกว่าวันละ 1,000 คนทุกวัน จนทำให้ปัจจุบันเมียนมามีผู้ติดเชื้อประมาณ 95,000 คนและเสียชีวิต 2,000 คน และอาจกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปี 2564 ที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) คาดการณ์ไว้ค่อนข้างดีที่การเติบโตของจีดีพีที่ร้อยละ 6