'ไทย-ไต้หวัน' เสี่ยงถูกสหรัฐหมายหัว 'ประเทศปั่นค่าเงิน'
ผู้เชี่ยวชาญด้านค่าเงินของสหรัฐคาดการณ์ว่า ไทยและไต้หวันมีความเสี่ยงที่จะถูกรัฐบาลสหรัฐ ตีตราว่าเป็น "ประเทศปั่นค่าเงิน" ในรายงานที่จะเผยแพร่ในสัปดาห์นี้
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (15 เม.ย.) ว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านค่าเงินของสหรัฐคาดการณ์ว่า ไทยและไต้หวัน มีความเสี่ยงที่จะถูกกระทรวงการคลังสหรัฐภายใต้การนำของนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ขึ้นบัญชีว่าเป็น "ประเทศปั่นค่าเงิน" เช่นเดียวกับเวียดนามและสวิตเซอร์แลนด์ ในรายงานที่จะเผยแพร่ในสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญมองว่า นางเยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐอาจจะไม่ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวแบบเดียวกับคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เนื่องจากที่ผ่านมานั้น คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน พยายามใช้แนวทางที่สร้างสรรค์มากขึ้นกับบรรดาประเทศพันธมิตรและประเทศคู่ค้า
คาดว่า นางเยลเลนจะพิจารณาถึงการบิดเบือนทางการค้าและกระแสเงินทุนในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด และจะทบทวนเกี่ยวกับโครงสร้างของรายงานดังกล่าว
นายแมทธิว กู๊ดแมน อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐซึ่งปัจจุบันเป็นนักวิชาการประจำ Center for Strategic and International Studies กล่าวว่า “ผมคิดว่านางเยลเลนจะดำเนินการในเรื่องนี้ด้วยความยืดหยุ่นมากขึ้น และผมคาดว่า นางเยลเลนอาจจะไม่ตีตราอย่างชัดเจนว่าประเทศคู่ค้ารายใดทำการปั่นค่าเงิน”
ภายใต้กฎเกณฑ์ของสหรัฐนั้น ประเทศคู่ค้าจะถูกระบุว่าปั่นค่าเงิน หากประเทศนั้นมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูงกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์, มีการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศในอัตราส่วนสูงกว่า 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกสูงกว่า 2% ของตัวเลขจีดีพี
กฎเกณฑ์ดังกล่าวส่งผลให้คณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า สวิตเซอร์แลนด์และเวียดนามเป็นประเทศที่ปั่นค่าเงินเมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ กฎหมายสหรัฐกำหนดให้กระทรวงการคลังต้องทำการเจรจากับประเทศที่ถูกระบุว่าปั่นค่าเงิน เพื่อให้ประเทศนั้นๆ ดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของสหรัฐ มิฉะนั้นประเทศที่ถูกระบุว่าปั่นค่าเงินจะไม่สามารถทำสัญญาจัดซื้อกับรัฐบาลสหรัฐได้
นักวิเคราะห์ด้านปริวรรตเงินตราต่างประเทศ กล่าวว่า ไต้หวันซึ่งมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในอัตราส่วน 14% ของจีดีพี ในปี 2563, มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีการเข้าซื้อสกุลเงินต่างประเทศเกือบ 6% ของจีดีพี ถือว่าอยู่ในขอบข่ายของการถูกตีตราว่าปั่นค่าเงิน ขณะที่ไทย เวียดนาม และสิงคโปร์ ก็อยู่ในสถานะที่ไม่ต่างกัน