ดาวโจนส์ทะยาน 351จุดเหตุตลาดคลายกังวลโอมิครอน
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันจันทร์(27ธ.ค.)พุ่งขึ้น 351 จุด ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดปิดทำการเนื่องจากเป็นวันคริสต์มาส
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 351.82 จุด หรือ 1% ปิดที่ 36,302.38 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปรับตัวขึ้นเกือบ 1.4% ปิดที่ 4,791.19 จุด ถือเป็นการปิดตลาดสูงสุดครั้งที่ 69 ของปีนี้ ส่วนดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวขึ้น 1.4% ปิดที่ 15,871.26 จุด
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลง โดยบริษัทหลายแห่งประกาศยกเลิกเที่ยวบินเกือบ 800 เที่ยวบินในวันนี้ หลังจากระงับเที่ยวบินมากกว่า 3,000 เที่ยวบินในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
FlightAware.com ซึ่งให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางการบิน รายงานว่า สายการบินหลายแห่งของสหรัฐประกาศยกเลิกเที่ยวบินราว 740 เที่ยวบินในวันนี้ ทั้งภายในสหรัฐ หรือเที่ยวบินออกจากสหรัฐ หลังจากที่ประสบปัญหาขาดแคลนพนักงาน เนื่องจากนักบินและพนักงานต้อนรับบนเครื่องจำนวนมากต้องถูกกักตัว จากสาเหตุการติดเชื้อโควิด-19
นอกจากนี้ สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยในบางเส้นทางก็ได้เป็นสาเหตุทำให้มีการระงับเที่ยวบินในวันนี้
ด้านนายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาว กล่าวว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐมีแนวโน้มพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สายพันธุ์โอมิครอนยังคงแพร่ระบาดไปทั่วโลก
"จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยค่าเฉลี่ยในสัปดาห์ที่แล้วคือ 150,000 ราย และตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นต่อไปอีก" นายแพทย์เฟาชีกล่าว
ขณะนี้ สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 53.2 ล้านราย และเสียชีวิตมากกว่า 837,000 ราย
นักลงทุนยังคงหวังว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะดีดตัวขึ้นในช่วงปลายปีนี้ จากปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" ซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่
จากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471
นักวิเคราะห์มีความเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวขึ้นในช่วงปลายปี แม้มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
ทั้งนี้ ผลการศึกษาจากแอฟริกาใต้ อังกฤษ และสกอตแลนด์ต่างบ่งชี้ว่า ผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนมีความเสี่ยงน้อยในการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เมื่อเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อื่น
"เราไม่คาดว่าโอมิครอนจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับมีแนวโน้มเร่งไปสู่การยุติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19" นายดูบราฟโก ลาคอส-บูชาส นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส ระบุในรายงานที่มีการเปิดเผยในวันนี้
รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของนายมาร์โก โคลาโนวิช หัวหน้านักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส ที่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้
"เรามองว่าปีหน้าจะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยุติลง และเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ โดยสภาวะตลาดกลับสู่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19" นายโคลาโนวิชระบุในรายงาน
"แม้ว่าโอมิครอนจะระบาดได้รวดเร็วกว่า แต่รายงานก็บ่งชี้ว่าสายพันธุ์นี้มีความรุนแรงน้อยกว่า ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบวิวัฒนาการของไวรัสในอดีต และเรื่องนี้ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณว่าการแพร่ระบาดใกล้ยุติแล้ว"
"โอมิครอนสอดคล้องกับรูปแบบในอดีตที่บ่งชี้ว่า ไวรัสที่มีการแพร่ระบาดมากกว่า แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า จะเข้ามาแทนที่ไวรัสสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากกว่า ซึ่งจะทำให้โอมิครอนเป็นตัวเร่งให้การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโควิด-19 กลายเป็นเพียงบางสิ่งที่คล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเท่านั้น" รายงานระบุ
นายโคลาโนวิชยังคาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้นเกือบ 8% ในปีหน้า สู่ระดับ 5,050 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ทะยานขึ้น 18% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวแตะ 2.25% ในช่วงสิ้นปี