เกีย อีวี 5 AWD แรง อัตราเร่งดี ทางเขาขับสนุก แบตฯใช้งานต่อเนื่อง ช่วงล่างนุ่ม
เกีย เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยเอง แทนผู้จำหน่ายเดิมที่เป้นธุรกิจของคนไทยช่วงต้นปี 2567 พร้อมประกาศเป้าหมายสร้างส่วนแบ่งตลาดรถยนต์นั่ง 5% ภายใน 5 ปี และที่น่าสนใจอีกสิ่งหนึ่ง เป้าหมายการจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ให้มีสัดส่วน 50% และล่าสุด เกีย เปิดตัว อีวี 2 รุ่น
เกีย เริ่มต้นทำตลาด อีวี ด้วย “เกีย อีวี9” (KIA EV9) รถอีวีขนาดใหญ่ ก่อนจะตามมาด้วย “อีวี5” (EV5) ที่มีขนาดเล็กลงมา โดยมีให้เลือก 4 รุ่นย่อย คือ
- Light ราคา 1.299 ล้านบาท
- AIR 1,399 ล้านบาท
- Earth Long Range 1.599 ล้านบาท
- Earth Exclusive AWD 1.799 ล้านบาท
เกีย อีวี5 มีขนาดความยาวตัวถัง 4,615 มม. กว้าง 1,875 มม. สูง 1,715 มม. ระยะฐานล้อ 2,750 มม. ก็ไม่เล็กนะครับ แต่ถ้าเทียบให้เห็นภาพ มันจะสั้นกว่า เอสยูวี ยอดนิยม อย่างฮอนด้า ซีอาร์-วี 7.6 ซม. หรือถ้าเทียบกับฝั่งอีวีด้วยกัน สั้นกว่า ดีพอล เอส 07 อยู่ 13.5 ซม.
แต่พื้นที่ห้องโดยสารถือว่ากว้างขวางใช้ได้ และเพิ่มความโปร่งโล่งด้วยหลังคา พาโนรามา ซันรูฟ ยาวครอบคลุมทั้งพื้นที่เบาะหน้าและเบาะหลัง เอาไว้เปิดรับลมเย็นๆ ในช่วงวันที่อากาศดีๆ ได้
พื้นที่เบาะด้านหลังก็นั่งได้สบายมีพื้นที่เหลือ ปรับเอนพนักพิงได้ มีช่องแอร์ด้านหลัง และชุดชาร์จโทรศัพท์มาให้
ส่วนเบาะผู้ขับขี่ เป็นเบาะแบบ Relaxation Seat มีฟังก์ชันการนวด 4 โหมด ถึง 6 จุด รวมถึงที่พักขาแบบปรับไฟฟ้าได้ เพื่อช่วยให้ผู้ขับผ่อนคลายในการควบคุมรถ
และรุ่นท็อปนี้ ยังติดตั้งกล่องทำความเย็นและอุ่นร้อนที่คอนโซลกลาง เป็นระบบทำความเย็น และความร้อนนะครับ ไม่ใช่ระบบรักษาความเย็นความร้อน
ทำให้มันสามารถอุ่นอาหารพร้อมเสริฟ หรือแช่เครื่องดื่มเย็นๆ เติมความสดชื่น และที่หลังเบาะหน้ายังสามารถเปิดออกมาเป็นโต๊ะเพื่อวางแทบเล็ตได้ด้วย
ส่วนระบบความปลอดภัยพื้นฐานมีในทุกรุ่น ส่วนรุ่น Earth Long Range และ รุ่น Earth Exclusive AWD เพิ่มเติมเข้ามาอีกหลายรายการ เช่น ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ประกอบด้วย
- ระบบป้องกันการชนขณะถอยหลัง (RCCA)
- ระบบป้องกันการชนจากมุมอับสายตาขณะแซง (BCAA)
- ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาบนหน้าจอ (BVM)
- ระบบ Smart Cruise Control (SCC) พร้อม Stop & Go
- ระบบช่วยควบคุมให้รถอยู่ในช่องจราจร (LFA และ LKA)
นอกจากนี้ก็ยังมีระบบอื่นๆ เช่น ระบบช่วยเหลือเพื่อความปลอดภัยขณะลงจากรถ (Safe Exit Assist) เป็นต้น
วันนี้ผมมีเรื่องราวการลองขับ รุ่นท็อป AWD มาฝากครับ ซึ่งระบบขับเคลื่อนของรุ่นนี้ ส่วนใหญ่ก็จะส่งกำลังไปยังล้อหลังเป็นหลัก ขณะที่การส่งไปล้อหน้าเล็กน้อย แต่จังหวะที่ส่งมากสักหน่อย ก็เช่นช่วงเพิ่มความเร็วอย่างรวดเร็ว แต่ที่ชัดเจนสุดคือจังหวะการขับขึ้นทางชัน
ครับ ครั้งนี้เราลองขับกันในเส้นทางที่เต็มไปด้วยทางชันจากเชียงรายไปยังสะปัน จ.น่าน ซึ่งอยู่เลยบ่อเกลือเข้าไปอีก ก่อนที่จะตีลงมาที่ตัวเมืองน่าน ซึ่งระยะทางโดยรวมประมาณ 360 กม. นี้เป็นทางราบ ไม่เกิน 20% แต่ก็ดีครับจะทำให้ได้รู้ขีดความสามารถในการขับขี่
อีวี 5 AWD มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 308 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร (รุ่นอื่น 217 แรงม้า แรงบิด 30 นิวตันเมตร) ความเร็วสูงสุด 185 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.1 วินาที
แบตเตอรี ลิเธียม ไอออน ความจุ 88.1 kWh ระยะทางการขับขี่สูงสุด 620 กม. ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง
แต่ถ้าอยากได้ระยะทางขับไกลสุดต้องไป Earth Long Range ซึ่งใช้แบตเตอรีเท่าตัวท็อป แต่มอเตอร์เดี่ยวทำให้ได้ระยะทาง 665 กม. ส่วนอีก 2 รุ่นที่เหลือแบตฯ เล็กกว่า คือ 64.2 kWh รองรับการขับขี่ 490 กม.
จุดเด่นของรถ คือ สมรรถนะ การตอบสนองของมอเตอร์ไฟฟ้าที่เรียกกำลังมาได้เร็ว อัตราเร่งดี เหมาะกับเส้นทางที่จำเป็นจะต้องใช้การเร่งแซงบ่อยครั้ง โดยเฉพาะการแซงบนเขา ทางแคบๆ ที่โอกาสเปิดให้แซงไม่มากนัก จะทำก็ต้องรีบทำ ซึ่งช่วยให้ขับได้สนุก
การถ่ายกำลังไปยังล้อต่างๆ ทำได้ดี จังหวะที่กดคันเร่งหนักๆ รวดเร็ว ที่กระชากรถไปข้างหน้า ทั้งเส้นทางทั่วไป หรือทางเขา รถไม่มีจังหวะล้อฟรี หรือร่อน ส่าย ให้รู้สึกได้
ช่วงล่างเซ็ทมาค่อนข้างนุ่ม ดูดซับแรงสั่นสะเทือนในช่วงที่ผิวถนนไม่เรียบได้ดี ช่วยให้นั่งได้สบาย แต่ขณะเดียวกันหากเจอผิวถนนที่ไม่ราบเรียบ ที่ทำให้ระนาบของล้อไม่เท่ากัน ทำให้จังหวะการให้ตัว โยนตัวของตัวถังเกิดขึ้นให้รู้สึกได้ หลายคนก็จะไม่ชอบ โดยเฉพาะใครที่ชอบนั่งทำงานในรถ หรือ เล่นโทรศัพท์ในรถ อาจจะมึนๆ ได้
หรือการให้ต้วในเส้นทางเขาที่อุดมไปด้วยโค้งเช่นกัน แต่ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ในด้านการยึดเกาะถนนมันกลับทำได้ดีในเส้นทางแบบนี้ ทางทั้งโค้งและแคบ แต่รถกลับควบคุมได้ดี นิ่ง ช่วยให้ผู้ขับเติมน้ำหนักคันเร่งเข้าไปได้อีก จนได้ยินเสียงยางทะเลาะกับถนนลั่นป่า ซึ่งส่วนหนึ่งยังเป็นผลมาจากกการกระจายแรงบิดไปยังล้อทั้ง 4 แบบ เรียลไทม์ได้อย่างเหมาะสมก็ช่วยให้การยึดเกาะถนนทำได้ดี
ครับ การขับในเส้นทางแบบนี้ ที่ต้องใช้พวงมาลัย ช่วงล่าง และการตอบสนองของมอเตอร์จากการเปลี่ยนความเร็วบ่อยครั้ง ช่วยเพิ่มอารมณ์สปอร์ต ขับได้สนุก และเดินทางได้ค่อนข้างเร็ว โดยเฉพาะกับจังหวะออกจากโค้งที่ทำได้รวดเร็ว
แต่แน่นอนว่าถ้าเซ็ทช่วงล่างให้แข็งกว่านี้อีกสักหน่อย น่าจะสนุกยิ่งขึ้น รวมถึงผู้โดยสารที่จะสนุกกับการนั่งชมทิวทัศน์ในเส้นทางที่สวยงามมากขึ้นเช่นกัน
ด้านการขับ อีวี 5 สามารถตั้งระดับความหน่วง หรือการชาร์จกลับได้จะเลือกเบา หนัก หรือไปจนถึงแบบ วัน แพดเดิล ก็ได้ ด้วยปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย
แต่โดยส่วนตัวผมว่าถ้าเป็นเส้นทางเขาแบบนี้ ใช้ระดับ 3 กำลังดี อาจจะมีบางจังหวะที่ต้องใช้เบรกช่วยบ้าง แต่ก็เล็กน้อย ส่วนถ้าใช้ วัน แพดเดิล หน่วงมาเกินไป แต่ก็ขับให้เนียนๆ ได้ ถ้าเน้นๆ เท้าขวาในการกดการผ่อนคันเร่ง ที่ต้องนุ่มนวลที่สุด และแค่ผ่อนนะครับ ไม่ใช่ยกคันเร่ง
และเมื่อผ่านเส้นทางที่ค่อนข้างดุดันไปถึงที่หมายได้แล้ว ผมได้คำตอบอีกอย่างหนึ่งว่า บางสิ่งที่คนใช้อีวีห่วงคือ ความต่อเนื่องในการใช้งานหนัก อีวี5 คันนี้ สอบผ่านครับ
เพราะตั้งแต่เริ่มต้นทางถึงปลายทาง มันต้องรองรับอารมณ์จากเท้าผู้ขับแทบจะตลอดเวลา ทั้งความเร็ว การใช้อัตราเร่ง และการปีนไต่ทางชัน แต่การตอบสนองของมอเตอร์ทำได้ราบรื่น ไม่เข้าโหมดเซฟตัวเอง แบบเร่งไม่ขึ้น ดันไม่ไป แม้แต่น้อย
โดยรวม สำหรับ เกีย อีวี 5 เรื่่องของขุมพลัง ความต่อเนื่องในการใช้งาน ถือว่าทำได้ดี ขับสนุกใช้ได้ ก็เป็นผลมาจากเรื่องของขุมพลังนั่นแหละครับ ช่วงล่างก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แม้จะนุ่มไปบ้าง โยนบ้าง แต่ก็ผ่านเส้นทางแบบนี้ไปได้แบบไม่ต้องลุ้นอะไรครับ จะมีก็แต่ผู้โดยสารที่หันมาค้อนๆ บ้างเท่านั้นครับ