จับตา 'อนุทิน-ทักษิณ' ชิง 'แม่ทัพ' ขั้วอนุรักษ์

จับตา 'อนุทิน-ทักษิณ' ชิง 'แม่ทัพ' ขั้วอนุรักษ์

ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจมีใครสักคน หรือ คนบางกลุ่มอ่านเกมออก และเริ่มเห็นโอกาสที่จะเดินเกมรุก มากกว่าที่จะตั้งรับต่อไป

ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยึดโยงกับอย่างน้อย 3 คดี คอการเมืองจะกระพริบตาไม่ได้เป็นอันขาด เพราะมันอาจนำไปสู่การเปลี่ยนเกมของ “ขั้วอำนาจ” ก็เป็นได้ 

  • คดีแรก ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

 

กรณีสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 40 คน ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้องที่ 1) ได้นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ (ผู้ถูกร้องที่ 2) เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากผู้ถูกร้องที่ 2 เคยถูกศาลฎีกามีคำสั่ง จำคุกหกเดือน ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริตและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160  (4) และ (5) หรือไม่ ผู้ร้องจึงส่งคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82

เรื่องนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6ต่อ 3 มีคำสั่งรับคำร้อง ไว้พิจารณา และมีมติเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) ไม่สั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1 หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามคำร้อง ส่วนผู้ถูกร้องที่2(นายพิชิต) ชิงลาออกไปก่อน จึงยกคำร้อง 

คดีนี้แม้ว่า หลายคนเชื่อมือ นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และมือกฎหมายระดับเซียนเหยียบเมฆ ที่นายเศรษฐา แต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา จะช่วยให้รอดพ้นคดีได้ แต่เรื่องการเมือง สถานการณ์เปลี่ยน ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนได้เสมอ

 

  • คดีที่สอง กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่แม้ทำท่าไปได้สวยในการรอดพ้นคุก หลัง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุก 8 ปี(3 คดี) ต่อมาทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ และได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี แต่ไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว เนื่องจากใช้เงื่อนไขป่วยหนัก ต้องรักษาตัวบนชั้น 14 รพ.ตำรวจจนครบกำหนด(6เดือน)ได้ “พักโทษ” 

แต่ปรากฏว่า มีคดีค้างเก่าสืบเนื่องจากการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศของ “ทักษิณ” เมื่อ 21 พฤษภาคม 2558 ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาคดีหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร 

ล่าสุด อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง และศาลให้ประกันตัวสู้คดี หลังจากร้องขอความเป็นธรรม จนอัยการสูงสุดสั่งให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม และเลื่อนสั่งฟ้องมาหลายครั้ง

คดีนี้ ประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสังเกต ก็คือ “ดีล” ระหว่าง “ทักษิณ” กับขั้วอำนาจ ยังอยู่ดี หรือไม่?

 

  • คดีที่สาม “ยุบพรรคก้าวไกล” อันเนื่องมาจาก ข้อกล่าวหาใช้สิทธิเสรีภาพในการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กรณีเสนอแก้ไข หรือ ยกเลิก ป.อาญา ม.112 รวมทั้งใช้เป็นนโยบายหาเสียง

คดีนี้ “กกต.” ผู้ร้อง อ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัยว่าเป็นการล้มล้างการปกครองฯ และสั่งให้หยุดการกระทำมาประกอบคำร้องยุบพรรคด้วย ขณะที่พรรคก้าวไกลชี้แจงไม่ได้ล้มล้างการปกครองฯ และได้หยุดการกระทำตามที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งแล้ว รวมถึงยกขั้นตอนการยื่นคำร้องของ กกต.ไม่ถูกต้องมาต่อสู้    

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้นำพยานเอกสารในสำนวนการไต่สวนคดี คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 มารวมไว้ในสำนวนคดีเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

โดยกำหนดนัดพิจารณาต่อไป วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 และกำหนดให้คู่กรณีเข้ามาตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 9 กรกฎาคม 2567

อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกล กำลังลุ้นว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะเรียกพยานปากสำคัญที่ฝ่ายตัวเองเสนอไป เพื่อไต่สวนเพิ่มเติมหรือไม่ โดยอ้างเพื่อความยุติธรรมที่จะได้รับอย่างเต็มที่ เพราะถือว่า เป็นคดีสำคัญ

ทั้งหมด ล้วนมีผลต่อสถานการณ์ทางการเมือง ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น 

อย่าง กรณีหากนายเศรษฐา ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอนจากตำแหน่ง นั่นเท่ากับ “รัฐมนตรี” จะต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ และมีการสรรหา “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” ซึ่งไม่แน่ว่า ผลโหวตของ “สภาผู้แทนราษฎร” ซึ่งใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือเกินครึ่ง(จากทั้งหมด 500 คน) จะเลือกใคร  

เพราะกติกาตามรัฐธรรมนูญ 2560 หลังจากหมดวาระวุฒิสภาแต่งตั้งแล้ว กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น  พิจารณานายกรัฐมนตรีจากรายชื่อที่แต่ละพรรคเสนอก่อนเลือกตั้ง พรรคละไม่เกิน 3 รายชื่อ 

และรายชื่อนั้นต้องมาจากพรรคการเมืองที่มี ส.ส. ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 (25 ที่นั่ง) และมีผู้รับรองในการเสนอไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 (50 เสียง) 

นั่นเท่ากับว่า มี 6 พรรค ที่มีสิทธิเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี รวม 7 คน คือ พรรคเพื่อไทย 2 คน พรรคก้าวไกล 1 คน พรรคภูมิใจไทย 1คน พรรคพลังประชารัฐ 1 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน และ พรรคประชาธิปัตย์ 1คน 

แต่โอกาสของคนที่จะเป็น “นายกรัฐนตรี คนที่ 31” ต่อจาก “เศรษฐา” (กรณีศาลรัฐธรรมนูญสั่งฟัน) ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีเพียง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายชัยเกษม นิติสิริ (แคนดิเดตนายกฯจากพรรคเพื่อไทย) นายอนุทิน ชาญวีรกูล(แคนดิเดตนายกฯจากพรรคภูมิใจไทย) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ(แคนดิเกตนายกฯจากพรรคพลังประชารัฐ) และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (แคนดิเดตนายกฯจากพรรครวมไทยสร้างชาติ) เท่านั้น ที่มีความเป็นไปได้ 

เนื่องจากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกฯจากพรรคก้าวไกล จะเป็นได้ก็ต่อเมื่อมีการพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ดังนั้นเสียงสนับสนุนจึงไม่น่าจะเพียงพอ ยิ่งกว่านั้น หากพรรคก้าวไกลถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย “ยุบพรรค” โอกาส ยิ่งหมดลงทันที เพราะ “พิธา” ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองถึง 10 ปี

ส่วนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา(แคนดิเดตนายกฯจากพรรครวมไทยสร้างชาติ) เวลานี้ได้รับแต่งตั้งเป็น “องคมนตรี” แล้ว จึงไม่น่าจะกลับมาเป็นตัวเลือกอีก?

แล้วใครจะกล้าการันตีว่า “เศรษฐา” รอดแน่!?

ส่วนคดี 112 ของ “ทักษิณ” แม้ว่า การต่อสู้คดีจะใช้เวลาถึง 3 ศาล ซึ่งไม่น่าจะต่ำกว่า 3ปี แต่ต้องไม่ลืม “ทักษิณ” ไม่มีอิสรเสรีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะมีเงื่อนไขประกันตัวผูกมัดอยู่ ดังนั้นความหวังที่จะแสดงบทบาทอย่างเต็มที่เพื่อช่วยผลักดันให้พรรคเพื่อไทย และ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กลับมาอยู่ในกระแส และเป็นคู่ต่อสู้กับพรรคก้าวไกลได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ยิ่งคู่แข่งกระแสติดลมบนไปแล้วด้วย ยิ่งแทบมองไม่เห็นโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ได้ 

ไม่เพียงเท่านั้น หลังการกลับไทยของ “ทักษิณ” ไม่เพียงไม่ทำให้กระแสพรรคเพื่อไทยดีขึ้น หากแต่ยังซ้ำเติมให้เลวร้ายเข้าไปอีก เนื่องจาก “ทักษิณ” ไม่ได้รู้สึกสำนึกในสิ่งที่ตัวเองเคยทำผิดแม้แต่น้อย ทั้งยังใช้อำนาจบารมีท้าทายกฎหมาย ทำตัวมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น โดยเฉพาะในฐานะ “นักโทษ” สิ่งเหล่านี้ ยิ่งนานวันยิ่งน่าจับตามอง ว่า “ทักษิณ” จะทำอะไร ให้พรรคเพื่อไทย และรัฐบาลเสื่อมไปมากกว่านี้หรือไม่ 

สำหรับคดียุบพรรคก้าวไกล แม้มีการคาดหมายกันว่า จะทำให้กระแสคะแนนสงสารเห็นใจพุ่งสูงทันที จากที่ติดลมบนอยู่แล้ว อาจกลายเป็นดาวค้างฟ้าไปเลยก็เป็นได้ แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ คณะกรรมการบริหารพรรคที่จะต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี และส.ส.อีกจำนวนหนึ่ง ที่ถูกร้อง ป.ป.ช.เอาผิด กรณีร่วมลงชื่อแก้ ป.อาญา ม.112 อาจเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง โทษหนักถึงตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ก็ไม่ต่างจากการ “ทำลายล้าง” คนระดับหัวกะทิ ซึ่งถูกทำลายมาแล้วรุ่นหนึ่ง กรณียุบพรรคอนาคตใหม่ จริงอยู่ คนสร้างได้ และอุดมการณ์ก็สืบสานได้ แต่การเป็นแม่เหล็กดึงดูดกระแสนิยม อย่างที่ “พิธา” เป็นอยู่ ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆอย่างแน่นอน 

จึงนึกไม่ออกว่า หากไม่มีคนอย่าง “พิธา” และอีกหลายคนที่แสดงบทบาทได้ดีในพรรคก้าวไกล อะไรจะเกิดขึ้น? คนใหม่จะเหลืออีกกี่คนที่ยังคงยึดโยงกับอุดมการณ์การต่อสู้แบบก้าวหน้าอย่างเข้มข้น ยิ่งมีกระแสข่าว ส.ส.บางคนในพรรคเริ่มติดต่อพรรคใหม่ในขั้วอำนาจ เพื่อเข้าสังกัดแล้ว หากมีการยุบพรรค นี่คือ อีกด้านที่น่าจับตามอง

ในท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองดังกล่าว ยังมีปรากฏการณ์ เลือกตั้ง “ส.ว.”(สมาชิกวุฒิสภา)ชุดใหม่ ที่เหนือความคาดหมายหลายเรื่อง  

โดยเฉพาะ กรณีว่าที่ส.ว.สีน้ำเงิน หรือ ส.ว.สายบ้านใหญ่ใกล้ชิดพรรคภูมิใจไทย พาเหรดเข้าสภาสูงผิดสังเกตถึง 130 คนโดยประมาณ นั่นเท่ากับส.ว.สายนี้ ชี้เป็นชี้ตาย การแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สบาย ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2560 ระบุ ต้องใช้เสียงส.ว. 1 ใน 3 รวมถึงการพิจารณาตั้งบุคคลในองค์กรอิสระด้วย นี่คือเรื่องใหญ่ แม้ไม่มีอำนาจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม

แสดงให้เห็นถึง “ศักยภาพ” ของ “สีน้ำเงิน” ที่ยึดสภาสูงได้ ขณะที่ “สีแดง” ที่ใกล้ชิดพรรคเพื่อไทย และ “ทักษิณ” สอบตกแม้แต่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี น้องเขย “ทักษิณ” เลยทีเดียว รวมถึง สยบดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นหัวหอกเคลื่อนไหว อย่าง สายสีส้ม อยู่หมัด  

ปรากฏการณ์เช่นนี้ น่าคิดว่า “เข้าตากรรมการ” แค่ไหน? โดยเฉพาะขั้วอำนาจอนุรักษ์ ที่เริ่มเห็นจุดอ่อน “ทักษิณ” และไม่เห็นวี่แววว่าจะฟื้นฟูขั้วอนุรักษ์กลับมาได้ นอกจากกระแสโจมตีที่นับวันจะรุนแรง ทั้งต่อ “ทักษิณ” และ พรรคเพื่อไทย

ใครก็ตาม ที่คิดเอา “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล ใส่พานมาวางตรงหน้า พร้อมส.ว.สีน้ำเงิน ถือว่า ไม่ธรรมดา “มันจบแล้วครับนาย”