ราคาน้ำมันดิบพุ่ง 2% วันแรกของซื้อขายปีใหม่ นักลงทุนมั่นใจเศรษฐกิจจีน
ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2% ในวันพฤหัสบดีจากความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจจีน หลังสี จิ้นผิง ประกาศใช้นโยบายเชิงรุกเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และนักลงทุนกลับมาจากวันหยุด
รอยเตอร์สรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นประมาณ 2% ในวันพฤหัสบดี (2 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกลับมาเปิดการซื้อขายวันแรกของปีใหม่ด้วยการจับตาดูเศรษฐกิจและความต้องการเชื้อเพลิงของจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงให้คำมั่นที่จะส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นมากขึ้น
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ล่วงหน้าพุ่งขึ้น 1.47 ดอลลาร์ หรือ 2% สู่ระดับ 76.11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเพิ่มขึ้น 65 เซ็นต์ในวันอังคาร ซึ่งเป็นวันซื้อขายสุดท้ายของปี 2024 ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียตสัญญาล่วงหน้าของสหรัฐ (WTI) พุ่งขึ้น 1.62 ดอลลาร์ หรือ 2.3% สู่ระดับ 73.34 ดอลลาร์
“การปรับตัวขึ้นเช่นนี้อาจดำเนินต่อไปได้เรื่อยๆ จนกว่าราคาจะขึ้นไปถึงระดับสูงพอที่จะดึงดูดการป้องกันความเสี่ยงระยะสั้นและการขายทำกำไร ซึ่งจะปูทางไปสู่การกลับสู่ระดับที่ต่ำกว่า” จิม ริตเตอร์บุช จาก Ritterbusch and Associates ในฟลอริดา กล่าว ริตเตอร์บุช ซึ่งระบุว่าการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่สดใส กล่าวว่าเขาคาดว่าราคาน้ำมันดิบ WTI จะพุ่งขึ้นสูงเกินกว่า 74 ดอลลาร์
สีกล่าวปราศรัยในวันปีใหม่เมื่อวันอังคารว่าจีนจะดำเนินนโยบายเชิงรุกมากขึ้นเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2025
การสำรวจของ Caixin/S&P Global เมื่อวันพฤหัสบดีแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมภาคโรงงานของจีนเติบโตขึ้นในเดือนธันวาคม แต่ในอัตราที่ต่ำกว่าที่คาดไว้ ท่ามกลางความกังวลว่าภาษีศุลกากรที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เสนอจะส่งผลต่อการค้าอย่างไร
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงการสำรวจอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการผลิตของจีนแทบจะไม่เติบโตเลยในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม ภาคบริการและการก่อสร้างขยายตัวดีขึ้น โดยข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกำลังไหลเข้าสู่บางภาคเศรษฐกิจจริงบางส่วน
นักวิเคราะห์บางคนมองว่าข้อมูลของจีนที่อ่อนแอลงเป็นปัจจัยบวกต่อราคาน้ำมัน เนื่องจากอาจกระตุ้นให้ปักกิ่งเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น
ปริมาณน้ำมันสำรองที่พุ่งสูงขึ้นในสหรัฐ แทบไม่มีผลกระทบต่อราคา ข้อมูลสต๊อกน้ำมันของสหรัฐ จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (Energy Information Administration: EIA) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งช้ากว่าปกติ 1 วัน เนื่องจากเป็นวันหยุดปีใหม่ แสดงให้เห็นว่าสต๊อกน้ำมันเบนซินและผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นพุ่งสูงขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว
สต๊อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์นี้ สู่ระดับ 231.4 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต๊อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา เพิ่มขึ้น 6.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์นี้ สู่ระดับ 122.9 ล้านบาร์เรล
ขณะเดียวกัน สต๊อกน้ำมันดิบลดลงน้อยกว่าที่คาด โดยลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 415.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ในการสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ ว่าจะลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล
ขณะที่ผู้ซื้อขายกลับไปทำงานที่โต๊ะทำงาน พวกเขาอาจกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น และการที่ทรัมป์อาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐร้อนแรง เทียบกับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากภาษีศุลกากร โทนี ซิคามอร์ นักวิเคราะห์ตลาดของ IG กล่าว
“การเผยแพร่ดัชนีการผลิต ISM ของสหรัฐในวันพรุ่งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญต่อการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของน้ำมันดิบ” ซิคามอร์กล่าว
ซิคามอร์กล่าวว่ากราฟรายสัปดาห์ของ WTI กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ช่วงแคบลง ซึ่งบ่งชี้ว่าการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น
“แทนที่จะพยายามคาดเดาว่าการปรับตัวแรงจะเกิดขึ้นในลักษณะใด เรามีแนวโน้มที่จะรอดูก่อนแล้วจึงค่อยไปกับตลาด” เขากล่าวเสริม
จากการสำรวจของรอยเตอร์ส ราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะถูกจำกัดให้อยู่ที่ประมาณ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2025 (2568) ซึ่งลดลงเป็นปีที่ 3 หลังจากการลดลง 3% ในปี 2024 โดยอุปสงค์ของจีนที่อ่อนแอและอุปทานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นชดเชยความพยายามของกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ที่พยายามจะพยุ่งตลาด
ด้านยุโรป รัสเซียหยุดการส่งออกก๊าซผ่านท่อที่ผ่านยูเครนในวันปีใหม่ หลังจากข้อตกลงการขนส่งสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม สหภาพยุโรปได้จัดเตรียมแหล่งซื้อทางเลือกล่วงหน้าก่อนที่การหยุดชะงักที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ในขณะที่ฮังการีจะยังคงรับก๊าซของรัสเซียผ่านท่อส่ง TurkStream ใต้ทะเลดำ