DARQ เทคโนโลยีชุดใหม่ สร้างศักยภาพการแข่งขัน
41% ของผู้บริหารให้เทคโนโลยีเอไอมาเป็นอันดับหนึ่ง
เมื่อต้นสัปดาห์นี้สถาบันไอเอ็มซีได้จัดงานสัมมนา Digital Trends 2020 ซึ่งเป็นงานสัมมนาที่จัดต่อเนื่องทุกปี มีการเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนมากเพื่อบอกเล่าแบบเจาะลึกแนวโน้มด้านไอทีของปีถัดไป รวมทั้งขยายความถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ในปีนี้งานสัมมนาให้ความสำคัญของการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น โดยต้องการชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มของเทคโนโลยีในปีหน้าจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงองค์กรอย่างไร โดยเน้นถึงองค์ประกอบ 7 ด้านของการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น อันประกอบด้วย 1.ประสบการณ์ลูกค้า 2.วัฒนธรรมองค์กร 3.รูปแบบการทำธุรกิจ 4.องค์กร 5.กระบวนการทำงาน 6. ภาวะผู้นำและความสามารถ และ 7.โครงสร้างพื้นฐาน จึงกำหนดงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ Digital Trends 2020 : The 7 Elements of Digital Transformation
เมื่อกล่าวถึงแนวโน้มของเทคโนโลยีในปีหน้ามีประเด็นที่น่าสนใจ คือ โลกในปัจจุบันกำลังมีการเปลี่ยนแปลงจากยุคดิจิทัล (Digital Era) ไปสู่ยุคหลังดิจิทัล (Post-Digital Era) โดยยุคดิจิทัลองค์กรที่จะแข่งขันได้ ต้องลงทุนเน้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เรียกว่า SMAC กล่าวคือ โซเชียล โมบาย อนาไลติกส์ และคลาวด์ เพื่อสร้างความแตกต่าง เช่น องค์กรต่างๆ มีการสร้างเครือข่ายผ่านโซเชียลมีเดีย มีการพัฒนาโมบายแอพ เพื่อให้เข้าถึงระบบขององค์กรได้ทุกที่ มีการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และมีการใช้คลาวด์ คอมพิวติ้ง เพื่อทำให้สามารถพัฒนาระบบไอทีได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ยุคหลังดิจิทัลการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกลุ่มเดิมกลายเป็นเรื่องปกติที่ทุกองค์กรจำเป็นต้องมี และอาจไม่ได้สร้างความได้เปรียบเหนือกว่าคู่แข่งมากนักเพราะทุกองค์กรต่างก็ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นปกติไปแล้ว
ดังนั้นในยุคหลังดิจิทัลกลุ่มของเทคโนโลยีที่จะกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และช่วยผลักดันให้องค์กรเกิดขีดความสามารถใหม่ๆ ในการแข่งขันจะกลายเป็นกลุ่มที่เรียกว่า DARQ ซึ่งย่อมาจากเทคโนโลยีต่างๆ ดังนี้
Distributed ledger technology เทคโนโลยีบัญชีบันทึกข้อมูลอย่าง บล็อกเชน ที่จะช่วยให้องค์กรหรือบุคคลต่างๆ ทำธุรกรรมและเชื่อมโยงกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคนกลาง Artificial Intelligence (AI) การนำปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาจากข้อมูลมหาศาลมาใช้ในกระบวนการทำงานต่างๆ Extended Reality เทคโนโลยีจำลองภาพบรรยากาศจริง อย่าง Virtual Reality หรือ Augmented Reality และ Quantum Computing ระบบคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ ที่จะสามารถเพิ่มความเร็วในการประมวลผลได้มหาศาล
ทั้งนี้เมื่อต้นปีนี้ทางบริษัท Accenture ได้ทำการสำรวจออนไลน์ไปยังผู้บริหารธุรกิจและไอที ราว 6,672 คน ใน 27 ประเทศ ร่วม 20 อุตสาหกรรม ถึงลำดับความสำคัญของเทคโนโลยี DARQ ที่จะส่งผลต่อองค์กรของตนมากที่สุดในช่วง 3 ปีข้างหน้า ก็พบว่า 41% ของผู้บริหารให้เทคโนโลยีเอไอมาเป็นอันดับหนึ่ง
ขณะที่สามเทคโนโลยีที่เหลือผู้บริหารให้ความสำคัญพอๆ กันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 18-19% นอกจากนี้ ยังพบว่า 89% ของธุรกิจส่วนใหญ่ก็ได้เริ่มมีการทดลองและวางแผนที่จะนำเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่งในกลุ่ม DARQ มาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยี DARQ บางท่านอาจคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ด้วยโลกยุคดิจิทัลทำให้เราสามารถที่จะเรียนรู้และใช้งานเทคโนโลยี DARQ ได้ง่ายขึ้น ดังเช่น ล่าสุดบริษัท Amazon Web Services ก็เพิ่งประกาศบริการ Amazon Braket ที่เปิดโอกาสให้องค์กรต่างๆ มาใช้เทคโนโลยี Quantum Computing ที่มีค่าใช้จ่ายตามปริมาณการใช้งาน โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนพัฒนาเครื่องของดัวเอง
Volkswagen เป็นตัวอย่างของบริษัทที่ได้นำเทคโนโลยี DARQ ในหลายๆ ด้านมาใช้งาน เช่น การนำ Quantum Computing มาใช้ในการประมวลผลด้านเอไอต่างๆ นำ บล็อกเชน มาใช้ในการพัฒนาระบบชำระเงินแบบอัตโนมัติ และใช้ระบบ AR ในการช่วยบำรุงรักษารถยนต์
ดังนั้นในช่วง 3 ปีข้างหน้าสถานการณ์จะไม่เป็นเช่นเดิม องค์กรจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีกลุ่ม DARQ ต้องตระหนักถึงความพร้อมขององค์กร ประเมินศักยภาพในการเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ ต้องพัฒนาทักษะของบุคลากรเพื่ิอรองรับเทคโนโลยีดังกล่าว และวางแนวทางในการนำเทคโนโลยี DARQ มาใช้เพื่อปรับโฉมอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนไป