เปิดการลงทุนปี 2567 อินเดีย - เวียดนาม เศรษฐกิจโต จีนส่อชะลอตัวจากภาคอสังหาฯ

เปิดการลงทุนปี 2567 อินเดีย - เวียดนาม เศรษฐกิจโต จีนส่อชะลอตัวจากภาคอสังหาฯ

การลงทุนในปี 2567 ถือได้ว่าเป็นปีที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้น่าสนใจอีกปี อินเดีย - เวียดนาม เศรษฐกิจโต จีนส่อชะลอตัวต่อเนื่องจากภาคอสังหาฯ

ทิศทางการลงทุนปี 2567 การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงดูเหมือนมีแนวโน้มเป็นบวก โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง เช่น กลุ่มเติบโต และกลุ่มเทคโนโลยีฯ ขณะที่ในฝั่งตลาดหุ้นเอเชีย “กูรู” แนะควรกระจายการลงทุนออกจากจีนมากขึ้น เช่น ตลาดหุ้นอินเดีย และเวียดนาม

บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย)

บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า มุมมองการลงทุนในปี 2567 ถือได้ว่าเป็นปีที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้น่าสนใจอีกปี แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกกับครึ่งปีหลังก็เป็นไปได้ที่อาจจะเป็นหนังคนละม้วน เนื่องจากจะเริ่มเห็นภาพความเสี่ยง และความผันผวนที่มาจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มชัดขึ้น ซึ่งเป็นผลจากเรื่องของการเลือกตั้งในหลายประเทศ ทั้งไต้หวัน อินโดนีเซีย อินเดีย และสหรัฐฯ รวมถึงมีโอกาสที่เกิดภาพของ Mini Rotation ของตราสารหนี้ที่อาจกลับมาโดดเด่น

มุมมองการลงทุนในปี 2567

สำหรับภาพรวมการลงทุนในปี 2567 มองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด และการทำ soft landing จะยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ในปี 2567 นอกจากนี้จากสถิติของตลาดหุ้นสหรัฐฯแล้ว ในปีที่มีการเลือกตั้งตลอดช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 สามารถปรับตัวขึ้นได้เกือบทุกครั้ง ยกเว้นแค่การเลือกตั้งในปี 2000 และ 2008 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ 

ส่วนในฝั่งยุโรปแม้ว่าจะมีโอกาสเข้าสู่ภาวะ technical recession ในไตรมาส 4/66 นี้ แต่ด้วย valuation ที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบการมุมมองการลดดอกเบี้ยของ ECB ในปี 2567 ส่งผลให้ downside ของตลาดหุ้นมีจำกัด และมีโอกาสฟื้นตัวได้เมื่อเศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง ขณะที่อีกประเทศนึงในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วที่ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดคือญี่ปุ่นอาจเผชิญแรงเทขายทำกำไรได้เมื่อ BoJ มีการปรับแนวทางการใช้นโยบายการเงิน แต่อย่างไรก็ตามจากการคาดการณ์กำไรในปีหน้าที่เติบโตได้ดีอาจทำให้ผลกระทบส่วนนี้ลดลง

ขณะที่ในฝั่งประเทศกำลังพัฒนานั้น เรายังชื่นชอบตลาดหุ้นเอเชียต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอินเดีย และเวียดนามที่ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน รวมถึงตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันที่ได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากเทรนด์ของปัญญาประดิษฐ์ที่เข้ามากระตุ้นความต้องการชิปประมวลขั้นสูงอีกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงหลักของภูมิภาคนี้จะยังคงอยู่ที่การเติบโตของประเทศจีน ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตต่ำลงในปี 2567 หลังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจยังคงออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และนโยบายขนานใหญ่ที่ออกมา เช่น นโยบายขาดดุลการคลัง 1 ล้านล้านหยวน, นโยบายกระตุ้นภาคอสังหาฯ และการอัดฉีดสภาพคล่องด้วยวงเงินสถิติ นั้นยังไม่ค่อยเห็นผลชัดเจนมากนักเนื่องจากเพิ่งมมีการประกาศออกมาในไตรมาส 4/66 นี้ ทำให้เรามองว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกซักระยะจนกว่านโยบายที่ประกาศออกมาจะเริ่มเห็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน 

อีกสินทรัพย์ที่เรามองว่ามีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีคือกลุ่มของตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้โลก เนื่องจากทั้ง FED และ ECB มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 หลังจากเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วมาตั้งแต่ปี 2565 ทำให้ในตอนนี้ตราสารหนี้มีอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับสูง และมีโอกาสได้รับ capital gain เมื่ออัตราดอกเบี้ยกลับทิศเป็นขาลงอีกเช่นกัน โดยกลุ่มที่เราชื่นชอบได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ investment grade ขณะที่กลุ่มที่เราแนะนำให้ระมัดระวังคือตราสารหนี้ในกลุ่ม High Yield เนื่องจากมีแนวโน้มที่อัตราการผิดนัดชำระหนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจในกลุ่ม DM จะเติบโตแบบชะลอตัวลง

ในด้านสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำที่ปี 2566 ทำผลตอบแทนได้เกือบ 15% และในช่วงต้นปี 2567 อาจได้ปรโยชน์ช่วงสั้นๆจากดอลลาร์ที่อ่อนค่า แต่โดยรวมอาจไม่ได้โดดเด่นเท่ากับปีที่ผ่านมาซึ่งอาจเป็นภาพไซด์เวย์ในปี 2567 ขณะที่น้ำมันดิบเราคาดว่าจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวอาจทำให้ความต้องการการใช้น้ำมันไม่ได้เพิ่มขึ้น ส่งผลราคาพลังงานน่าจะวิ่งอยู่ในระดับ 70-80 เหรียญ/บาร์เรลล์ในปีหน้า

“ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2566 และในส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐฯสามารถ Soft Landing ได้ แต่ยังมีความเสี่ยงที่ยังจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยแบบบางๆ หรือ Mild Recession ได้อยู่บ้าง แต่จากการคาดการณ์ถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการเงินและด้านการคลัง อาจทำให้ภาวะถดถอยนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วระยะ แต่ในขณะที่กลุ่มประเทศในเอเชียอย่าง อินเดีย และเวียดนาม มีแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ยังเติบโตได้ในระดับ 6% และอาจได้ประโยชน์ในแง่ของ Global Supply Chain ที่เริ่มเข้ามายังอินเดียและเวียดนามที่เพิ่มขึ้น จากกรณีที่จีนยังมีแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องจากภาคอสังหาฯ”

ความเสี่ยงที่ต้องจับตา

ความเสี่ยงหลักที่ต้องระมัดระวังในปี 2567 คือ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งสหรัฐฯที่อาจมีนโยบายของผู้สมัคร ในการมุ่งเป้ากดดันจีนในแต่ละด้านอาจทำให้ความผันผวนอาจเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังที่เข้าใกล้การเลือกตั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน ขณะที่อีกความเสี่ยงคือการ Sell on fact จากความคาดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐฯและยุโรปจะลดดอกเบี้ย แต่หากความคาดหวังกับความจริงมีความแตกต่างกันสูงอาจทำให้ตลาดผิดหวังได้ รวมถึงความเสี่ยงจากการขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงครึ่งปีหลัง

ด้านนโยบายทางการเงิน

“Higher for no longer” เป็นคำที่อาจจะตรงข้ามกับสิ่งที่นักลงทุนคาดไว้ก่อนหน้านี้ เพราะสิ่งที่หลายฝ่ายคาดการณ์คือ ดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับสูงไปอีกสักระยะ แต่จาก Fed Dot Plots ล่าสุด มีแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed จะลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งในปีหน้า 

แต่สิ่งที่ตลาดคาดคือ Fed อาจมีการลดดอกเบี้ยได้ 4-5 ครั้งจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจจะชะลอตัวลง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ถึงแม้การประชุมล่าสุดจะยังไม่ได้พูดถึงเรื่องการลดดอกเบี้ย แต่ตลาดได้มีการคาดว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยได้ถึง 6 ครั้งในปีหน้า 

และทั้งสองธนาคารกลางถูกคาดหมายว่าจะเริ่มการลดดอกเบี้ยครั้งแรก ในช่วงปลายไตรมาส 1 หรือ ช่วงต้นไตรมาส 2 ของปี 2024 ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BoJ อาจมีการดำเนินนโยบายที่สวนทางเนื่องจากนับตั้งแต่การระบาดโควิด19 ทาง BoJ เป็นธนาคารกลางที่ดำเนินนโยบายทางการเงินผ่อนคลายมาต่อเนื่อง 

และมีแนวโน้มที่ทาง BoJ จะมีการทำ policy normalization ซึ่งอาจหมายถึงการยกเลิกนโยบาย yield curve control และขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า และทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ประเทศเดียวที่จะใช้นโยบายการเงินตึงตัว และสิ้นสุดยุคดอกเบี้ยติดลบในปีหน้า ในส่วนของธนาคารกลางแห่งประเทศไทยจากการคาดการณ์เศรษฐกิจที่ดีขึ้นในปีหน้ามีแนวโน้มที่จะคงดอกเบี้ยไว้ตลอดในปีหน้า