รู้ไว้! ก่อนฉีดวัคซีน ผู้ป่วยแต่ละโรค ต้องเตรียมตัวอย่างไร

รู้ไว้! ก่อนฉีดวัคซีน  ผู้ป่วยแต่ละโรค ต้องเตรียมตัวอย่างไร

น่าเสียดายที่การ”ฉีดวัคซีน”เป็นวาระแห่งชาติ แต่ไม่มีคู่มือการฉีดวัคซีนไวรัสโควิดให้ประชาชน ถ้าอย่างนั้นลองเช็คดูว่า บางโรคมีข้อห้าม ข้อยกเว้นอะไรบ้าง(จากความเห็นแพทย์)

“เมื่อไม่กี่วัน ไปฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ป้องกันสุนัขบ้า เพราะแมวข่วน ก็เลยถามหมอว่า อีกไม่กี่สัปดาห์ต้องไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิดต้องงดวัคซีนป้องกันสุนัขบ้าตอนไหน”

“กำลังท้องอยู่ อีกไม่กี่วันต้องฉีดวัคซีน ต้องทำอย่างไร”

“ป่วยเป็นความดันโลหิตสูง วันฉีดวัคซีนต้องกินยาไหม”

“กินยาซึมเศร้าอยู่ บางข้อมูลก็ให้หยุดยา บางข้อมูลก็บอกว่า ไม่ต้องหยุดยา แล้วต้องเชื่อใคร”

ฯลฯ

ถ้าไม่รู้จะเชื่อใคร ลองอ่านสรุปข้อมูลจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยแพทย์สาขาต่างๆ มาให้ความรู้ก่อนฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด คนป่วยแต่ละคน ต้องเตรียมตัวอย่างไร

 

162271154339

ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด วาระแห่งชาติ

'วัคซีน'กับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง(ไม่มีโรคแทรกซ้อน)

-วันเข้ารับวัคซีน ต้องควบคุมความดันโลหิตไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท

-ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคประจำตัว เช่น กลุ่มผู้สูงอายุต้องรับประทานยาสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ หากมีความดันโลหิตสูงเกินกว่าปกติต้องปรึกษาแพทย์เพื่อปรับยาหรือแผนการรักษา

-ภายใน 2-4 ชั่วโมง หลังการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไม่ควรออกกำลังกาย เพราะอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดเมื่อยหรืออ่อนเพลีย

-รับประทานยาประจำตัวตามปกติ ยกเว้น หากรับประทานยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือดต้องแจ้งแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน เช่น มีเลือดออกในกล้ามเนื้อบริเวณจุดที่ฉีดยา เกิดการบวม หรือมีรอยช้ำซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยกดบริเวณที่ฉีดวัคซีนให้นานขึ้นเป็นเวลา 5 นาที และสังเกตว่ามีอาการบวมหรือมีรอยซ้ำเกิดขึ้นหรือไม่

-ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ไม่ควรหยุดรับประทานยาประจำตัว เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2564
ที่มา : ศ. นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม

................

'วัคซีน'กับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม

การให้ยาเคมีบำบัดส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ยาเคมีบำบัดมีผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของผู้ป่วยลดต่ำลงบ้างโดยเฉพาะในช่วง 3-10 วัน หลังจากได้รับยาเคมีบำบัดแต่ละครั้งผลข้างเคียงดังกล่าวในผู้ป่วยแต่ละราย อาจแตกต่างกันในแต่ละสูตรยาและแต่ละครั้งที่มารับยา

โอกาสติดเชื้อโรคโควิด-19 ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านม
มีโอกาสใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับบุคคลทั่วไป ยกเว้นในระยะที่ผู้ป่วยรายนั้น ๆ มีภูมิคุ้มกันโรคลดลง เช่น ในช่วง 4-6 สัปดาห์หลังการผ่าตัดหรือ 3-10 วันแรกหลังได้รับยาเคมีบำบัด จึงอาจมีผลต่อการติดเชื้อโรคโควิด-19 ได้ง่ายกว่า

ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมไม่ควรหยุดให้ยาเคมีบำบัด
ผู้ป่วยไม่ควรหยุดการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด หากอยู่ในช่วงที่แพทย์กำหนดการรักษาไว้แล้ว เนื่องจากการขาดความต่อเนื่องของการรักษามะเร็งเต้านม อาจทำให้ผลการรักษาในระยะยาวไม่ได้ผลลัพธ์ดีเท่าที่ควร

หากเป็นไปได้ควรฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้ครบก่อนเริ่มการรักษา เพราะภายหลังการผ่าตัดและการให้ยาเศมีบำบัด ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะลดลงตามที่กล่าวข้างต้น ดังนั้นหากยังไม่ได้รับวัคซีนก่อนการรักษาผู้ป่วยจำเป็นต้องเคร่งครัดกับมาตรการป้องกันการติดเชื้อโรคโควิด-19 หากมีข้อสงสัยของการฉีดวัคซีน ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษาอยู่

ข้อมูล ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2564
ที่มา : นพ.อธิศพันธุ์ จุลกทัพพะ

'วัคซีน'กับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและระบบประสาท

-โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้

ยกเว้นผู้ป่วยที่เพิ่งมีอาการหรืออาการยังไม่คงที่สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาต้านเกล็ดเลือด (aspirin, clopidogrel, cilostazol) ยาป้องกันเลือดแข็งตัวที่ไม่ใช่ยาวาร์ฟาธิน (dabigatan, ivaroxaban, apixaban,edoxaban)

และยาวาร์ฟาริน (หากมีผลตรวจระดับการแข็งตัวของเลือด (INR)อยู่ในระดับต่ำกว่า 4.0 ภายใน 1 สัปดาห์ หรืออยู่ในระดับต่ำกว่า 3.0 มาโดยตลอด) ไม่จำเป็นต้องหยุดหรือปรับขนาดยาก่อนฉีดวัคซีน สามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด- 19 ได้ โดยใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก หลังจากฉีดแล้วกดตำแหน่งที่ฉีดไว้นานประมาณ 5 นาที จากนั้นอาจประคบด้วยน้ำแข็งหรือเจลเย็น

-โรคลมชัก ผู้ป่วยสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ แต่หลังการฉีดวัคซีน อาจมีใข้ และไข้อาจกระตุ้นให้เกิดอาการชักได้

-โรคระบบประสาทภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้แพทย์ประเมินระยะอาการของโรคและยาที่ใช้อยู่ว่าสามารถฉีดวัคซีนได้หรือไม่

-โรคทางระบบประสาทอื่น ๆ เช่น โรคสมองเสื่อม โรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม โรคพาร์กินสัน โรคเส้นประสาท และกล้ามเนื้อที่เกิดจากพันธุกรรมหรือการเสื่อม ไม่เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

ข้อมูล ณ วันที่ 2 มิถุนายน 2564
ที่มา : รศ.(พิเศษ) พญ.อรอุมา ชติเนตร

.......................

'วัคซีน'กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคโควิด-19 ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดีเนื่องจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายมีประสิทธิภาพป้องกันโรคลดลง

อาการรุนแรงของโรคโควิด-19 ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

  1. ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
  2. เกิดอาการปอดอักเสบมากขึ้น และรุนแรงจนต้องใช้เครื่องหายใจ
  3. เกิดภาวะไตวายมากขึ้น มีโอกาสฟอกไต
  4. มีโอกาสเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น

ผู้ป่วยโรคเบาหวานจัดเป็นกลุ่มเสี่ยง เมื่อติดโรคโควิด-19 จะทำให้มีอาการรุนแรง ดังนั้นควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน

ข้อมูล ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2564
ที่มา : อ. นพ.วิทวัส แนววงศ์

162271175332

วัคซีนป้องกันโควิดที่รอคอยมานาน

............

วัคซีนกับภาวะลิ่มเลือด

  1. การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด -1 9 ทุกชนิดไม่ส่งผลต่อการเกิดหลอดเลือดอุดตัน เช่น หลอดเลือดสมองอุดตัน หลอดเลือดหัวใจอุดตัน หลอดเลือดดำที่ขาอุดตัน และลิ่มเลือดอดตัน
  2. การเกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำร่วมกับหลอดเลือดอุดตัน โดยเฉพาะที่สมอง มีรายงานหลังฉีดวัคซีนของ AstraZeneca หรือ Johnson and Johnson ว่ามีโอกาสเกิดภาวะดังกล่าวขึ้นอยู่ระหว่าง 1 : 100,000 ถึง 1 : 500,000 ซึ่งภาวะนี้สามารถรักษาได้จากการวินิจฉัยและยาที่มีอยู่ในประเทศ
  3. ภาวะหลอดเลือดอุดตันภายหลังติดเชื้อโรคโควิด-19 มีความน่ากังวลมากกว่าการฉีดวัคซีน เพราะการติดเชื้อโรคโควิด-19 ส่งผลให้เกิดหลอดเลือดอุดตันสูงถึง 1 ใน 10 และมักเป็นหลอดเลือดอุดตันที่รุนแรง
  4. การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทุกชนิดมีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันแต่ผลข้างเคียงที่รุนแรงของวัคซีนแต่ละชนิด มีโอกาสเกิดน้อยกว่า 1 : 100,000 ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ต่ำกว่าภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 เช่น ปอดอักเสบรุนแรง หลอดเลือดอุดตัน หรือเสียชีวิตนับหมื่นเท่า
  5. ความกังวลหลังฉีดวัคซีน Sinovac ที่ว่าฉีดแล้วจะป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ หรือโรคอัมพาต ทางโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดแล้วไม่พบผู้ที่เกิดหลอดเลือดสมองอุดตันจากการฉีดวัคซีน
  6. ปัจจุบันไม่พบหลักฐานว่ามีผู้เสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยตรงในประเทศสหรัฐอเมริกาพบผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน Pfizer หรือ Moderna ประมาณ 1 : 60,000 ซึ่งภายหลังการสอบสวนโรคแล้ว พบว่าอาจเกิดจากโรคประจำตัวของผู้เสียชีวิตมากกว่าเกิดจากการฉีดวัคซีน

คำแนะนำจากแพทย์

ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคมะเร็ง โรคอัมพฤกษ์ โรคอัมพาต โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้

ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2564
ที่มา : รศ. นพ.นภชาญ เอื้อประเสริฐ

..................

วัคซีนโควิดในผู้หญิง

  1. ผู้หญิงที่มีประจำเดือนหรือกำลังจะมีประจำเดือน สามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้
  2. ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
    จะพิจารณาการให้วัคชีนใน
    – ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น แพทย์ พยาบาล หรืออยู่ในพื้นที่การระบาดสูง เป็นต้น
    – อายุครรภ์ ต้องมากกว่า 3 เดือนขึ้นไป
    – ชนิดของวัคซีน
    * หากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย เช่น วัคซีน Sinovac ตามหลักการน่าจะปลอดภัย
    * มีข้อมูลการให้วัคซีน mRNA บ้างพบว่าปลอดภัย ส่วนวัคซีนไวรัสเวกเตอร์ เช่น วัคซีน AstraZeneca ควรปรึกษาแพทย์
    – ประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากติดโรคโควิด-19 เช่น ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะมีอาการรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป ทารกมีโอกาสคลอดก่อนกำหนด และสามารถแพร่เชื้อสู่คนอื่นได้
  3. ผู้หญิงที่กำลังจะเตรียมตัวมีบุตร สามารถฉีดวัคซีนได้โดยไม่ต้องตรวจการตั้งครรภ์ก่อน แต่เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์หลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 แล้ว ควรเลื่อนการฉีดเข็มที่ 2 ออกไปหลังอายุครรภ์มากกว่า 3 เดือน
  4. ผู้หญิงที่ให้นมบุตร สามารถฉีดวัคซีนได้ เนื่องจากส่วนประกอบของวัคซีนมีโอกาสผ่านน้ำนมน้อยมาก จึงไม่มีความจำเป็นต้องงดให้นมบุตร
  5. การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ยังไม่มีหลักฐานการศึกษาที่บ่งชี้เป็นผลทำให้มีบุตรยาก

ข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2564
ที่มา : ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ

...........................

เรื่องอื่นๆ ใน"จุดประกาย" เกี่ยวกับไวรัสโควิดในมุมต่างๆ 

ย้ำอีกครั้ง!' ฉีดวัคซีน' โอกาสเกิด'ลิ่มเลือดอุดตัน'น้อยมาก

เช็คข้อห้าม! ก่อนฉีด‘วัคซีน’

รู้ให้ลึก! ก่อนฉีด ‘วัคซีนโควิด’ ทำไมไม่ต้องหยุด ‘ยาคุม’

รู้ให้ชัด! ก่อนฉีด‘วัคซีน’ ‘ผู้ป่วยจิตเวช’ไม่ต้องหยุดยา