ลดเค็มลงนิด ไตไม่ทำงานหนัก ลดโรคร้ายได้
"บริโภคเกลือ"แค่ไหนเหมาะสม ไม่ทำให้เกิดโรค เรื่องนี้ผู้บริโภคต้องทำความเข้าใจ ไม่อย่างนั้นเค็มมากๆ อาจทำให้เกิด"โรคไต" และโรคหลอดเลือดสมอง
ในการศึกษางานวิจัยในประเทศจีนล่าสุด ที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร New England Journal of Medicine ฉบับวันที่ 29 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ถึงเรื่องราวของการบริโภคเกลือลดโซเดียม ทำให้สามารถลดการเกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด และลดอัตราการเสียชีวิตได้
โดยการเก็บข้อมูลชาวจีนชนบทจำนวน 600 หมู่บ้าน เพื่อทำการศึกษาวิจัยแบบสุ่ม ซึ่งแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่
กลุ่มทดลองที่จะได้รับเกลือสำหรับบริโภคเป็นเกลือลดโซเดียม (ประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์ร้อยละ 75 และ โพแทสเซียมคลอไรด์ร้อยละ 25) และกลุ่มควบคุมจะได้รับเป็นเกลือบริโภคทั่วไป (โซเดียมคลอไรด์ร้อยละ100)
รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็มและนายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในการทดลองนี้เปรียบเทียบเกลือทดแทนกับเกลือปกติในหมู่ผู้ที่มีประวัติเคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือมีอายุ 60 ปีขึ้นไปและมีความดันโลหิตสูงเป็นเวลา 5 ปี พบว่า ในการวิจัยครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมวิจัยจำนวน 20,995 ราย
กลุ่มที่บริโภคเกลือลดโซเดียม มีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองน้อยกว่ากลุ่มที่บริโภคเกลือปกติอย่างมีนัยยะสำคัญ รวมไปถึงอัตราการเกิดโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือดและอัตราการเสียชีวิตก็ลดลง
ซึ่งผลการศึกษาที่ได้ผลดีเกิดจากการลดความดันโลหิตที่ได้ประสิทธิภาพในกลุ่มที่บริโภคเกลือลดโซเดียม อย่างไรก็ตามในการศึกษานี้ไม่ได้รวบรวมผู้ที่มีโรคไตรุนแรงเข้าร่วมการศึกษาด้วย
ด้านพญ.ศศิธร คุณูปการ อายุรแพทย์โรคไต กล่าวว่า การบริโภคเกลือลดโซเดียมสามารถลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดอื่น ๆรวมถึงการเสียชีวิต โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากโพแทสเซียมสูงรุนแรง
ในภูมิภาคที่มีการบริโภคโซเดียมเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้แก่ ในประเทศแถบเอเชีย แอฟริกาและลาตินอเมริกา จึงเหมาะที่จะหันมาบริโภคเกลือลดโซเดียมให้มากขึ้น
จากผลการวิจัยครั้งนี้อาจพิจารณานำนโยบายการใช้เกลือลดโซเดียมไปปรับใช้ได้ เพราะเข้าถึงได้ในราคาไม่แพงและได้ผลค่อนข้างดี ในประเทศไทยขณะนี้มีทั้งเกลือ น้ำปลา ซี่อิ้ว และเครื่องปรุงรสที่ลดโซเดียมหลายยี่ห้อในซุปเปอร์มาร์เก็ต พบว่าราคายังสูงกว่าสูตรปกติ
ดังนั้นถ้าหากภาครัฐชดเชยส่วนต่างราคาตรงนี้ อาจจะทำให้ผู้บริโภคหันมานิยมบริโภคผลิตภัณฑ์เหล่านี้กันมากขึ้น ซึ่งจะมีผลดีต่อสุขภาพประชาชนผู้บริโภคในระยะยาวและส่งผลให้ลดภาระค่ารักษาพยาบาลของประเทศลงได้อย่างมาก