กระตุ้นยอดดื่ม “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ไม่ช่วยเศรษฐกิจโต แถมทรุด

กระตุ้นยอดดื่ม “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ไม่ช่วยเศรษฐกิจโต แถมทรุด

เปิดผลศึกษานโยบายกระตุ้นยอดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  พบว่า ยิ่งมีการดื่มมากขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวยิ่งต่ำลง ส่งผลต่อผลิตภาพของกำลังแรงงาน แนะรัฐออกนโยบายสาธารณะเพื่อประชาชน ไม่ใช่ทุนน้ำเมา

เมื่อเร็วๆนี้ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดกิจกรรมเผยแพร่ผลการศึกษา เรื่อง “ผลกระทบของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย” โดยผศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ทำการศึกษา กล่าวว่า  ประเด็นทางเศรษฐกิจเป็นหัวใจสำคัญของการออกนโยบายสาธารณะของรัฐบาลประเทศต่างๆ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักอ้างเรื่องการจ้างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจมาเป็นเหตุผลต่อต้านมาตรการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

สำหรับประเทศไทย ซึ่งการท่องเที่ยวมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจ จึงมีสมมติฐานจากภาครัฐและเอกชนบางกลุ่มว่า การออกนโยบายเพื่อกระตุ้นการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยเศรษฐกิจของประเทศ และเมื่อพิจารณาตัวเลขหลายแหล่ง ชี้ตรงกันว่า ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในขณะที่การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อหัวก็มีแนวโน้มสูงขึ้นจากประมาณเฉลี่ย 5 ลิตรต่อคนต่อปี ในปี 1990 ในปี 2019 เพิ่มเป็น 7 กว่าลิตร

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยิ่งดื่มมาก เศรษฐกิจระยะยาวยิ่งต่ำลง

 งานวิจัยนี้จึงศึกษาผลกระทบของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยใช้ข้อมูลประเทศไทยระหว่างปี ค.ศ.1990-2019 ทั้งในภาพรวม และจำแนกรายประเภท

ผลการศึกษาพบว่า ยิ่งมีการดื่มในภาพรวม และเบียร์ สุรา มากขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวยิ่งต่ำลง

ผลการศึกษาสอดคล้องกับงานวิจัยที่ใช้ข้อมูลของสหรัฐอเมริกา และประเทศกำลังพัฒนา เพราะการดื่มกระทบกับสุขภาพ ทำให้ขาดงานบ่อย ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ตายก่อนวัยอันควร ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อผลิตภาพของกำลังแรงงานในระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การดื่มยังมีต้นทุนค่าเสียโอกาส สูญเสียเงินและเวลาที่สามารถนำไปใช้ดูแลพัฒนาบุตรหลาน

รัฐควรลดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ภาครัฐควรมีมาตรการที่มีประสิทธิผลในการลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากพิจารณาจากมาตรการของต่างประเทศที่มีความเข้มแข็ง คือ นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ พบว่าคุมเข้มการโฆษณา เก็บภาษีสูงมาก และเครื่องดื่มที่มีดีกรีสูง ได้แก่ สุรา ไวน์ ให้ขายในร้านค้าของรัฐเท่านั้น ส่วนร้านทั่วไปสามารถขายเบียร์ที่มีดีกรีต่ำ
3 ประเทศงดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วันอาทิตย์

  • นอร์เวย์มีกฎหมายห้ามขายวันอาทิตย์ วันสำคัญทางศาสนา วันหยุดสำคัญของประเทศ สวีเดน ฟินแลนด์ ก็ไม่จำหน่ายสุรา ไวน์ และเบียร์ดีกรีสูง ในวันอาทิตย์เช่นกัน ซึ่งมาตรการเหล่านี้ใช้มายาวนาน เพราะทุกรัฐบาลเห็นความสำคัญของการควบคุมอย่างเข้มงวดว่าจะทำให้เศรษฐกิจพัฒนาอย่างยั่งยืน
  • สิงค์โปร์ ประกาศนโยบายเน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพมีกำลังจ่ายสูง จึงทำสิ่งแวดล้อมในประเทศให้มีคุณภาพ คุมเข้มการขาย การดื่มแอลกอฮอล์ โดยนั่งดื่มในผับบาร์ได้ไม่เกิน 23.59 น. 
  •  ญี่ปุ่นที่ผ่อนคลายให้สามารถขายแอลกอฮอล์ได้ 24 ชั่วโมง เพราะรัฐบาลต้องการกระตุ้นยอดการดื่มให้มากขึ้น ซึ่งสามารถทำได้เพราะในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หากดูจากตัวเลของค์การอนามัยโลก(WHO)ที่เผยแพร่ทุก 5 ปี จะพบว่า ญี่ปุ่นมีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อหัวที่ต่ำกว่าไทยโดยตลอด  เพราะรัฐบาลทุกยุครณรงค์ให้ประชาชนเห็นโทษภัยของการดื่มทั้งต่อตนเองและต่อสังคมเศรษฐกิจ  รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จึงไม่ค่อยปรากฎพฤติกรรมเมาแล้วขับเหมือนในประเทศกำลังพัฒนา

“แม้จะผ่อนคลายมากขึ้น รัฐบาลญี่ปุ่นก็คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาตามมามาก แต่ถ้าเทียบกับประเทศไทย ข้อมูลปี 2021 พบว่า ญี่ปุ่นมีประชากร 124 ล้านคน มีการเสียชีวิตบนท้องถนนจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 179 คน”ผศ.ดร.ชิดตะวันกล่าว

กระตุ้นคนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นโยบายน่าคลางแคลงใจ

ผศ.ดร.ชิดตะวัน กล่าวอีกว่า  สำหรับประเทศไทยประชากร 71 ล้านคน ตายบนถนน 2,390 คน ถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤติ แม้ว่าปีดังกล่าวไทยยังไม่ได้มีการลดทอนมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อพิจารณาบริบท ณ ปัจจุบันของประเทศไทย การที่จะออกนโยบายเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้นในทุกๆทาง จึงเป็นเรื่องที่น่าคลางแคลงใจ ทั้งในเหตุผลทางวิชากาผลการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงข้อมูลทางสถิติการบริโภคเครื่องดื่มแอลกออฮอล์ของประชาชนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะ 20-30 ปีที่ผ่านมา

“ผลการศึกษาผลกระทบ ประเทศนอร์เวย์ ประชากร 5 ล้านคน ตายบนถนนจากการเมา 10 คน สิงคโปร์ ประชากร 5 ล้านคน ตายบนถนนจากเมา 6 คน  ญี่ปุ่นประชากร 124 ล้านคน มีการเสียชีวิตบนท้องถนนจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 179 คน เยอรมนีมีประชากร 83 ล้านคนเสียชีวิตบนท้องถนนจากเมา 179 ราย ไทยมีประชากร 71 ล้านคน เสียชีวิตบนท้องถนนจากเมา 2,390 คน”ผศ.ดร.ชิดตะวันกล่าว