ข้อคิดเพื่อก้าวสู่อนาคต

ข้อคิดเพื่อก้าวสู่อนาคต

สุดสัปดาห์ก่อน ดิฉันได้รับเกียรติจากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ให้เป็นผู้กล่าวให้โอวาทเนื่องในพิธีสำเร็จการศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีแฟนคอลัมน์อยากอ่านโอวาทนั้น จึงได้ขออนุญาตผู้อำนวยการโรงเรียนนำมาแบ่งปันกับท่านค่ะ

“น้องๆนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัยทุกคน

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เราทุกคนตระหนักดีว่า โลกนี้มีความซับซ้อนขึ้น มีความเปราะบาง มีความไม่แน่นอนสูง เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และมีสิ่งใหม่ๆ ทั้งที่คาดไว้และที่ไม่คาดหมาย เกิดขึ้นตลอดเวลา

สามปีที่ผ่านมา น้องๆทุกคนผ่านการเรียนรู้มาอย่างยากลำบาก หลายคนผ่านมาด้วยความสนุกและท้าทาย หลายคนผ่านมาด้วยน้ำตา ความขมขื่น และชอกช้ำ

 แต่ไม่ว่าจะผ่านมาอย่างไร  ในวันนี้ น้องๆทำได้สำเร็จแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยอย่างจริงใจ

การจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ถือเป็นก้าวสำคัญก้าวหนึ่งในชีวิต แต่หนทางชีวิตยังมีอีกยาวไกล หากเราวางแผนได้ดี และปฏิบัติตามแผน เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายใดๆในชีวิตได้เป็นส่วนใหญ่

ชีวิตลิขิตได้ เปลี่ยนแปลงได้ และเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเปลี่ยนแปลง ยกระดับ ทำให้ชีวิตของเราและครอบครัวในอนาคต ดีขึ้นกว่าวันนี้

ขอฝากข้อคิดและคติไว้ให้น้องๆ สัก 8 ข้อ เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า คือ

  ข้อที่หนึ่ง ให้เกียรติและยกย่องผู้อื่น ทั้งผู้ที่อาวุโสกว่า ผู้ที่เสมอกัน และผู้อ่อนเยาว์กว่า ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะคนรุ่นใหม่มักจะคิดว่าคนรุ่นเก่าโบราณ ล้าสมัย มีความคิดที่ไม่ก้าวหน้า แต่หากท่านไม่เก่ง ท่านเหล่านั้นคงไม่สามารถทำงานต่างๆที่สร้างความเจริญ ความสงบสุขแก่ครอบครัว แก่องค์กร แก่สังคม แก่ประเทศ และแก่โลก และหากสังเกต จะพบว่าผู้ใหญ่ต่างหากที่เป็นผู้ให้เกียรติเรา รับฟังเรา แต่ฟังแล้วจะนำไปดำเนินการหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของท่าน

เมื่อดิฉันเป็นผู้ตามในองค์กร ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่เสนอความคิดเห็นอย่างมาก แต่มีความเคารพต่อผู้มีหน้าที่ตัดสินใจว่า เมื่อเราเสนอแล้ว หากผู้ตัดสินใจเห็นว่าทางเลือกอื่นดีกว่า ท่านเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการตัดสินใจ และเมื่อดิฉันกลายเป็นผู้นำในองค์กร ดิฉันรับฟังจากทุกคน แต่เลือกตัดสินใจในสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์  สังเกตว่า ใช้คำว่า “เหมาะสมที่สุด” เพราะสิ่งที่เหมาะสมที่สุด ไม่ได้แปลว่าต้องดีที่สุด เสมอไป

ข้อที่สอง เรียนรู้ตลอดชีวิต ยิ่งโลกเปลี่ยนแปลงมากและเร็วขึ้นเท่าใด สิ่งที่เราเรียนรู้ในวันนี้ก็ยิ่งล้าสมัยเร็วขึ้นเท่านั้น เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ตลอดเวลา การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด และในความเป็นจริงแล้ว การศึกษาคือสิ่งที่ พ่อครูแฮรีส ได้เคยกล่าวไว้จริงๆว่า “เป้าหมายสูงสุดของการศึกษา คือการพัฒนาอุปนิสัย” และอุปนิสัยที่จะทำให้ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะในสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ใด คือ “อุปนิสัยการอยากเรียนรู้”

 การสำเร็จการศึกษา เป็นเพียงความสำเร็จขั้นต้นของชีวิตเท่านั้น ถ้าเราหยุดเรียนรู้ เพียงเพราะว่าเราคิดว่าเรารู้พอแล้ว เราจะไม่ประสบความสำเร็จในขั้นต่อๆไป

ข้อที่สาม รับผิดชอบ การรับผิดชอบนั้น ต้องมีควบคู่ไปกับการจัดลำดับความสำคัญ ว่า ในช่วงชีวิตใด เราควรรับผิดชอบกับสิ่งใดให้มากที่สุด เช่น ยามเรียนรับผิดชอบต่อการเรียน ยามทำงานรับผิดชอบกับงาน ถือเป็นการรับผิดชอบต่อตนเอง นอกจากนี้ เราสามารถรับผิดชอบต่อครอบครัว ต่อสังคม ต่อประเทศ และต่อโลกได้ ตามช่วงวัยของชีวิต

จากการสังเกต พบว่า ผู้จัดลำดับความสำคัญของการรับผิดชอบในชีวิตผิด มักจะเกิดความยุ่งยากในชีวิต และเสียเวลากับการแก้ไขความยุ่งยากนั้น ซึ่งบางครั้งแก้ไขได้ และบางครั้งก็แก้ไขไม่ได้ เป็นที่น่าเสียดาย

ข้อที่สี่ เป็นคนดี มีศีลธรรม จริยธรรม ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เชื่อว่าพวกเราชาวปรินส์รอยฯทุกคน ได้รับข้อคิดที่ดีจากการเข้าโบสถ์ทุกเช้าอยู่แล้ว  ดิฉันเอง เมื่อเป็นวัยรุ่น วัยว้าวุ่น ก็ได้รับข้อคิด ข้อเตือนใจ เตือนสติ จากการเข้าโบสถ์ทุกเช้า ข้อคิดหลายๆอย่างทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆให้ลุล่วง ข้อคิดหลายๆอย่าง ทำให้เกิดการปลอบประโลมใจในยามมีทุกข์ และข้อคิดส่วนใหญ่ทำให้เกิดความรัก เมตตา และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

การเป็นคนดี ไม่จำเป็นต้องเสียสละทุกอย่าง  การเป็นคนดี หมายถึงเราต้องไม่เบียดเบียนตัวเองด้วย ยกตัวอย่าง หน้ากากออกซิเจนบนเครื่องบิน หากความกดอากาศในเครื่องลดลงผิดปกติ หน้ากากออกซิเจนจะหล่นลงมา ผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อน แล้วจึงสวมให้ผู้อื่น หมายความว่า ตัวเราต้องแข็งแรง เราจึงจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ การเสียสละทุกๆอย่างโดยไม่คำนึงถึงตนเองจึงไม่ถูกต้อง

ข้อที่ห้า ร่วมแรงร่วมใจ โลกอนาคตซับซ้อนมากขึ้น โจทย์ยากขึ้น มีมิติหลากหลายขึ้น การเก่งทุกอย่างจึงเป็นไปได้ยากขึ้น ผู้จะทำงานในโลกอนาคตได้สำเร็จอย่างดี จึงต้องมีความสามารถในการร่วมแรงร่วมใจกันทำตามความถนัดของแต่ละคน

รางวัล Best All Around ที่ดิฉันเคยได้รับไปเมื่อ 44 ปีก่อน ถ้าจะรวมว่าทำทุกอย่างได้ดีแล้ว ต้องรวมการที่สามารถหาคนมาช่วยคิด ช่วยทำ เพื่อให้ได้งานออกมาดีและเหมาะสมที่สุดด้วย

ข้อที่หก แบ่งปัน ในโลกที่กว้างใหญ่และการพัฒนาเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง และถูกซ้ำเติมด้วยเทคโนโลยีที่มีราคาสูง  ความเหลื่อมล้ำของคนที่ “มี” กับคน “ไม่มี” ทรัพยากรและเทคโนโลยี ยิ่งมากขึ้น

หากเราเป็นผู้โชคดีที่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาและทรัพยากร รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ  เราต้องคิดว่า เราจะสบายคนเดียวไม่ได้ เมื่อเรามีกำลังพอ มีทรัพยากรพอ เราต้องเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่นด้วย เพราะทุกคนเกิดมาไม่ได้มีความพรั่งพร้อมเหมือนกัน หรือไม่ได้มีโอกาสในการยกระดับฐานะเหมือนกัน ดังนั้น การเผื่อแผ่จึงเป็นการลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นได้ทั้งการให้เงิน ให้สิ่งของ ให้ความช่วยเหลือ ให้ความรู้ ให้โอกาส ฯลฯ

ข้อที่เจ็ด มองโลกในแง่ดี และมีทัศนคติ “ทำได้”  ที่อยากฝากข้อคิดนี้ไว้ เพราะในชีวิตที่ผ่านมา หลายครั้งพบปัญหาและอุปสรรคที่ยากสาหัส การผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การมองโลกในแง่ดี ช่วยให้มีกำลังใจ และการมีทัศนคติ “ทำได้” ช่วยให้ไม่ท้อถอย และทำให้เราพยายามหาทางแก้ไข

ข้อที่แปด ทำให้ดีที่สุดทุกๆวัน  ดิฉันยึดคติ “ทำให้ดีที่สุด” มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ซึ่งเป็นคติที่ใช้ได้ผลดีตลอดมา ไม่เคยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำไป เพราะตั้งใจทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว  และดิฉันมาเติมคำว่า “ทุกๆวัน” เมื่อนักกีฬาเทนนิสขวัญใจของดิฉัน ราฟาเอล นาดาล ให้สัมภาษณ์ ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวที่ว่า อายุมากถึงสามสิบกว่าแล้ว เจอนักเทนนิสรุ่นใหม่ๆที่พละกำลังเยอะ และจะเจอรุ่นเก่าที่ฟอร์มแรง จะทำอย่างไร เขาตอบสั้นๆว่า  “I do my best everyday.” ตั้งแต่นั้นมา ประมาณ 5 ปีมาแล้ว ดิฉันก็เติมคำว่า “ทุกๆวัน” ลงไปในคติประจำชีวิตด้วย

แรงบันดาลใจทำให้เกิดความสำเร็จ ดิฉันก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลายท่านที่เกี่ยวข้อง จากพ่อแม่ จากครูบาอาจารย์ในโรงเรียน จากเพื่อน จากนักกีฬา หรือดาราคนโปรด ที่สำคัญที่สุด ดิฉันได้แรงบันดาลใจมากมายจากการอ่าน การฟัง และการดู  ดังนั้น เราต้องไม่หยุดที่จะรับแรงบันดาลใจจากผู้อื่นค่ะ

ขอฝากน้องๆนะคะ เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากหนึ่งในโรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศไทยแล้ว ขั้นต่อไปขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ นำข้อคิดเหล่านี้ไปทบทวนปฏิบัติบ้าง และขอให้ “ทำให้ดีที่สุดทุกๆวัน” ค่ะ”