3 มนุษย์ป้า ตามสงฆ์ ขึ้นอุโบสถโดยไม่สนป้ายห้ามสตรีขึ้น ตามจารีตประเพณี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในสื่อโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะชาวเชียงใหม่ได้มีการแชร์คลิป ต่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์ป้า 3 คน อายุราว 50-60 ปี 2 คน และ ราว40-50 ปี อีก 1 คน สวมใส่ชุดขาวทั้งตัวลักษณะเหมือนชุดใส่มาทำบุญ ที่ถือวิสาสะเดินขึ้นไปเที่ยวชมภายในอุโบสถเงินแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก ในวัดศรีสุพรรณ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ทั้งที่บริเวณด้านในอุโบสถเงินดังกล่าว ไม่อนุญาตให้สตรีเพศขึ้นไป และมีป้ายบอกห้ามผู้หญิงขึ้นไป ติดตั้งไว้อย่างชัดเจนที่ด้านหน้าทางเข้า มีทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ถือเป็นการลบหลู่จารีตประเพณีชาวเชียงใหม่ที่มีมากว่า 517 ปี ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าวว่าไม่เหมาะสม ขึดบ้านขึดเมือ ง หรือขัดต่อจารีตประเพณีของชาวล้านนา
โดยได้มีผู้บันทึกภาพดังกล่าวไว้ได้ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา ขณะที่มีพระสงฆ์ เดินนำ สตรีทั้ง 3 คนลงมาจากอุโบสถ ซึ่งทั้ง 3 คน เดินลงมาด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มและหัวเราะโดยไม่มีทีท่าสำนึกผิดอีกด้วย โดยผู้บันทึกและเผยแพร่คลิปดังกล่าว คือผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ “Pimlapat Aonsee” ทั้งนี้จากคลิป ดังกล่าว จะได้ยินเสียงชายตะโกนด่าทอ ขับไล่กลุ่มสตรีดังกล่าว ทราบภายหลังว่า คือเสียงของ นายสวรรค์ แคว้นไธสง ผู้ช่วยรองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในฐานะประชาสัมพันธ์และผู้ช่วยดูแลอุโบสถเงินวัดศรีสุพรรณ
นายสวรรค์ แคว้นไธสง เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 24 ธันวาคม 2560 เวลาประมาณ 15.30น. หลังจากตนได้ไปกิจธุระแล้วกลับมาถึงที่วัด ได้มีลูกศิษย์วัดรีบเดินมาหาตนด้วยสีหน้าเป็นกังวล ก่อนจะบอกว่ามีสตรีขึ้นไปยังอุโบสถ โดยชาวบ้านและลูกศิษย์วัดเรียกให้ออกมาอย่างไรก็ไม่ยอมออก และเริ่มเกิดความไม่พอใจกันมาก ตนก็ได้รีบเดินไปที่อุโบสถ ก็เห็นผู้คนจำนวนมากมายืนหน้าอุโบสถ โดยเฉพาะชาวบ้านในพื้นที่
ตนจึงได้เดินขึ้นไปด้านในอุโบสถ ก็พบกลุ่มพระสงฆ์ใส่จีวรสีกรักแดง (พระสายครูบา) กำลังสวดมนต์อยู่ โดยมีคณะลูกศิษย์นั่งอยู่ด้วย แต่ในกลุ่มนั้นมีสตรีใส่ชุดขาวอยู่ 3 คน ตนจึงได้ไปสะกิดสตรีคนหนึ่ง แล้วบอกอย่างสุภาพว่า ที่นี่มีกฎห้ามตรีขึ้นอุโบสถ ตามความเชื่อชาวล้านนาสืบทอดกันมาหลายร้อยปี และขณะนี้ชาวบ้านกำลังโกรธเพราะเหมือนถูกลบหลู่ ดูหมิ่นคนทั้งชุมชน แต่กลุ่มสตรีนั้นก็ยังไม่ยอมลง ทั้งยังบอกกลับมาอีกว่า ขอสวดมนต์ให้เสร็จก่อน แล้วก็กลับไปสวดมนต์ต่อ แม้ตนจะย้ำว่าต้องลงเดี๋ยวนี้ เพราะชาวบ้านเริ่มมีความตึงเครียดและเริ่มส่งเสียงด่าจากภายนอก แต่ก็ไม่สนใจ
หลังจากนั้น ตนจึงได้ไปรอที่บริเวณธรณีประตูอุโบสถ ก่อนที่จะรู้สึกวูบ ไม่รู้สึกตัวไปเหมือนรอบตัวมืดไปหมดชั่วคราว หลังจากนั้นจึงรู้จากลูกศิษย์วัดและภาพจากคลิปที่เผยแพร่ว่า ตนได้มีการด่าทอขับไล่ตะเพิดเสียงดัง ดังกล่าว ทั้งยังมีการทุ่มบาตรเซรามิค ในอุโบสถแตกเสียหาย ซึ่งตนยืนยันว่าไม่รู้สึกตัวแต่อย่างใด และทุกคนที่รู้จักตนดีก็คิดตรงกันว่า ไม่ใช่นิสัยปกติ ของตนที่ปกติแล้วมีความสำรวมใจเย็น และสุภาพ ซึ่งหลังจากตนกลับคืนสติ ก็มีอาการหน้าซีดใจสั่น เหนื่อยเหมือนวิ่งมาแล้วกว่า 10 กิโลเมตร หลังจากได้รับการปฐมพยาบาลก็กลับมาปกติ เชื่อว่าตนน่าจะถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาสิ่งในร่างเพื่อขับไล่เสนียดออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ทั้งนี้ ตนยังเกิดความสงสัยว่า พระสงฆ์กลุ่มดังกล่าว ก็เป็นพระสายครูบา สายเหนือ แต่ไม่ทราบว่ามาจากวัดไหน ซึ่งเชื่อว่าน่าจะรู้ดีถึงกฎและประเพณีปฏิบัติ ที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์จะห้ามไม่ให้สตรีขึ้น แต่กลับปล่อยปละละเลย ไม่เท่านั้นป้ายขนาดใหญ่ที่ห้ามอยู่ก็ไม่น่าจะไม่เห็น ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศก็ไม่เคยมีใครฝ่าฝืน ต่างเคารพกฎเกณฑ์มีมารยาท เหตุใดกลุ่มสตรีดังกล่าวจึงทำสิ่งที่เลวร้ายดังกล่าวได้ทั้งที่เป็นคนไทยแท้ๆ
“อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 ที่ผ่านมาได้มีการขอขมา นำน้ำขมิ้นส้มป่อย มาขอขมาเจ้าที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในและภายนอกรอบอุโบสถ รวมไปถึงบริเวณพญานาคราช รวมทั้งในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 นี้ ก่อนที่จะมีพิธีสวดมนต์ข้ามคืน ก็จะได้มีการจัดพิธีใหญ่ แก้ขึด (อัปมงคล) ตามพิธีแบบล้านนา โดยมีการนิมนต์ พระครูอดุลสีลกิตติ์ เจ้าคณะตำบลหายยา เจ้าอาวาสวัดธาตุคำ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์สวดขอขมา สู่ขวัญ ในวันดังกล่าว ซึ่งสิ่งที่ตนเป็นกังวลก็คือ กลุ่มสตรีดังกล่าวเอง ที่ประพฤติผิด ลบหลู่และไม่มีการขอขมา ตามความเชื่อจะเป็นอัปมงคลแก่ชีวิต หากไม่ทำให้ถูกต้อง”นายสวรรค์ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ตามความเชื่อจารีตประเพณีของชาวล้านนานั้น ใต้อุโบสถได้ฝังสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ การที่สตรีเพศขึ้นไปถือเป็นการลบหลู่ และจะ ขึด ตามภาษาล้านนา ที่แปลว่า หมายถึง สิ่งไม่ดี อัปมงคล เสนียด จัญไร หมายถึง การกระทำหรือเหตุการณ์ใดๆ ที่เมื่อผู้ใดทำหรือเกิดขึ้นกับบุคคล กับชุมชนสังคมใดแล้ว จะโดยเจตนา หรือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติก็ตาม จะนำความหายนะ วิบัติ อัปมงคลมาสู่บุคคลหรือ ชุมชนนั้นต้องแก้ไขด้วยการทำพิธีถอนขึดตามจารีตประเพณี หรือหากแก้ไขไม่ได้บุคคลที่ตกขึดก็ต้องรับผลกรรมแห่งการกระทำของตนไปตามระเบียบ