ชะลอ! ขยายอายุเกษียณราชการ จาก 60 ปี เป็น 63 ปี
มติ ครม.พิจารณาชะลอขยายอายุเกษียณราชการ จาก 60 ปี เป็น 63 ปี เนื่องจากโควิด-19 ส่งผลต่อระบบการคลังและงบประมาณของรัฐบาล ดังนั้นจึงเน้นการใช้งบประมาณที่มีจำกัดจ้างงานในกลุ่มเปราะบางก่อน
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2564 ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ถึงประเด็นการ "ชะลอ" ขยายอายุเกษียณราชการ จาก 60 ปี เป็น 63 ปี ว่า สืบเนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งหมายถึงมีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด และผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2573 สัดส่วนจะเพิ่มเป็น 30%
เพราะฉะนั้นจำเป็นที่ภาคส่วนต่างๆ จะต้องมีแผนการรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งในส่วนของข้าราชการพลเรือน ทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารบุคลากรภาครัฐ ได้ดำเนินการศึกษาแนวทางการขยายอายุเกษียณราชการตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ซึ่งมีการศึกษามาแล้วระยะหนึ่ง โดยได้กำหนดสาระสำคัญในแผนปฏิรูป ว่าให้ควรมีการศึกษาการขยายอายุการเกษียณราชการเป็นมาตรการเพื่อรองรับสังคมสูงวัย และสนับสนุนให้บุคลากรภาครัฐมีงานทำหลังเกษียณ รวมถึงการบริหารกำลังคนภาครัฐในช่วงวัยต่างๆ อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้มีข้อเสนอหนึ่งแนวทางคือ น่าจะขยายอายุเกษียณราชการจาก 60 ปี เป็น 63 ปี ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สำนักงาน กพ. ได้รับรายงานและข้อเสนอแนะจากคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสของวุฒิสภา ที่มีการเสนอเรื่องการจางข้าราชการภายหลังเกษียณอายุ 60 ปี
เพราะฉะนั้นจากข้อเสนอของคณะกรรมการชุดนี้ของวุฒติสภา เมื่อสำนักงาน กพ. ได้รับข้อเสนอแล้ว ก็นำมาพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่ง ครม.ก็เห็นชอบตามข้อเสนอที่เข้าเข้า ครม.พิจารณา และได้ข้อสรุปดังนี้
1.เห็นด้วยกับการชะลอ การขยายเกษียณอายุราชการตามแผนปฏิรูปประเทศด้านสังคม เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงระบบการคลังและงบประมาณของรัฐบาล ซึ่งเห็นว่าควรจ่ายงบประมาณที่มีจำกัดเพื่อให้เกิดการจ้างงานกับกลุ่มเปราะบางก่อนเป็นอันดับแรก และเมื่อสามารถจัดการกับสถานการณ์โควิด-19 ได้แล้ว ค่อยนำเรื่องนี้มาพิจารณาใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป
2.เห็นด้วยกับการจ้างเพื่อใช้ศักยภาพข้าราชการเกษียณ ที่เสนอให้มีทางเลือกที่หลากหลายในการจ้างงานที่เกษียณอายุราชการ ควบคู่ไปกับมาตรการการขยายอายุเกษียณ ทั้งนี้ต้องพิจารณาตามความจำเป็นและบุคลากรในแต่ละตำแหน่ง สาขา เช่น ตำแหน่งที่กำลังขาดแคลนกำลังคน ตำแหน่งที่มีความเชี่ยวชาญ หรือให้พิจารณาในรูปแบบอื่น เช่น จ้างข้าราชการเกษียณในกรณีจ้างเหมาบริการหรือการรับงานไปทำที่บ้าน
3.การศึกษาเพื่อปฏิรูปบำเหน็จบำนาญของข้าราชการส่วนท้องถิ่น
ซึ่งในวาระนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับว่า ความสำคัญของการบริหารบุคลากรภาครัฐจะต้องมองในภาพรวม ซึ่งต้องพิจารณาในเรื่องของการลดกำลังคน การส่งเสริมบุคลากรคนรุ่นใหม่ การจ้างจ้างงานข้าราชการเกษียณที่มีศักยภาพในตำแหน่งที่ขาดแคลน และการเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัย โดยย้ำว่าให้ดูครบทุกมิติ