ประท้วงใหญ่หลายประเทศโลกไม่ทนข้อจำกัดคุมโควิด
ประชาชนกว่า 100,000 คนทั้งในออสเตรเลีย ฝรั่งเศส อิตาลี และกรีซ ลงถนนประท้วงมาตรการควบคุมโควิด-19 และมาตรการเล่นงานคนไม่ฉีดวัคซีนของรัฐบาล เป็นเหตุให้ต้องปะทะกับตำรวจ
เมื่อวันเสาร์ (24 ก.ค.) มีการประท้วงในหลายประเทศ เริ่มที่นครซิดนีย์ของออสเตรเลีย หนึ่งวันหลังทางการเปรยว่า อาจคงข้อจำกัดคุมโควิดไปจนถึงเดือน ต.ค. ประชาชนจึงท้าทายคำสั่งอยู่กับบ้านยาวนานนับเดือน ออกมาเดินขบวนโดยไม่ขออนุญาต ผู้บังคับการตำรวจซิดนีย์ถึงกับเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “พวกงี่เง่า” ขณะที่ผู้จัดการประท้วงแย้งว่า นี่คือการเดินขบวนเพื่อเสรีภาพ
ผู้ชุมนุมถือป้ายข้อความ “ตื่นเถิดออสเตรเลีย” และ “เอานักการเมืองน้ำเน่าออกไป” มีการปากระถางต้นไม้และขวดน้ำใส่ตำรวจ งานนี้ผู้ประท้วงถูกตำรวจจับหลายสิบคน
แกลดิส เบเรจิกเลียน มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า เธอขยะแขยงอย่างยิ่งกับ “การกระทำอันเห็นแก่ตัวของผู้ประท้วงที่ไม่เห็นแก่ความปลอดภัยของพวกเราทุกคน”
ตำรวจเผยว่า สั่งปรับประชาชนไปเกือบ 100 คน จับกุมอีก 57 คน ส่วนที่เมลเบิร์นประชาชนถูกจับ 6 คน
เดวิด เอลเลียต ผู้บังคับการตำรวจนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า ทีมนักสืบจะพิจารณาคลิปเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อระบุตัวและตั้งข้อกล่าวหาประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ภายในไม่กี่วันนี้
“ซิดนีย์ไม่มีภูมิคุ้มกันพวกงี่เง่า” เขากล่าว
ทั้งนี้ ซิดนีย์ที่มีประชาอาศัยอยู่กว่า 5 ล้านคน กำลังดิ้นรนสกัดการระบาดของสายพันธุ์เดลตา ที่พบครั้งแรกในอินเดียขณะนี้แพร่ไปทั่วโลก
สำหรับออสเตรเลียก่อนหน้านี้ถือว่ารับมือการระบาดได้ดี แต่ปัจจุบันประชากรราวครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 25 ล้านคนต้องถูกล็อกดาวน์ในหลายเมือง ข้อจำกัดเพื่อคุมโควิดผนวกกับความล้มเหลวของรัฐบาลอนุรักษนิยมที่จัดหาวัคซีนมาได้ไม่เพียงพอ ทำให้ประชาชนโกรธเคืองมากขึ้นทุกขณะ ประชากรออสเตรเลียที่ฉีดวัคซีนครบสองโดสแล้วมีเพียง 11% เท่านั้น
วานนี้ (25 ก.ค.) รัฐนิวเซาท์เวลส์รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 141 คน สูงสุดเป็นอันดับสองของปีนี้ ลดลงจาก 163 คน เมื่อวันเสาร์
ที่ฝรั่งเศสประชาชนราว 160,000 ประท้วงทั่วประเทศ ต้านแผนใบรับรองสุขภาพที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ต้องการใช้จำกัดไม่ให้คนที่ไม่ฉีดวัคซีนเข้าร้านอาหารและสถานที่สาธารณะ ตำรวจต้องใช้แก๊ซน้ำตาและเครื่องฉีดน้ำจัดการกับผู้ประท้วงจำนวนหนึ่ง
ผู้ชุมนุมในฝรั่งเศสตะโกนก้อง “เสรีภาพ เสรีภาพ” พร้อมถือเป็นป้ายประณาม “ทรราชย์มาครง” “บริษัทยารายใหญ่ขัดขวางเสรีภาพ” “ไม่เอาใบรับรองแห่งความน่าละอาย”
การประท้วงนี้ตอกย้ำความขัดแย้งระดับโลกในหมู่ประชาชนที่ต้องเผชิญกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) และหน่วยงานสาธารณสุขอื่นๆ กับความต้องการกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด
ฝรั่งเศสก็เหมือนกับที่อื่นๆ ในยุโรป รัฐบาลทำให้คนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนใช้ชีวิตยากขึ้น
ขณะนี้ ส.ส.กำลังพิจารณาร่างกฎหมายบังคับฉีดวัคซีนในบางอาชีพ และใช้ใบรับรองสุขภาพเพื่อควบคุมการเข้าสังคมของคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนอย่างเข้มงวดเริ่มตั้งแต่สิ้นเดือน ก.ค.นี้
สัญญาณมาตรการเข้มงวดขึ้นที่ประกาศในวันที่ 13 ก.ค. ได้ผลตามที่ต้องการ นับถึงวันศุกร์ (23 ก.ค.) ประชาชนฉีดวัคซีนครบแล้ว 48% เพิ่มขึ้น 8% จากวันที่ 10 ก.ค.
ผลการสำรวจของบีเอฟเอ็มทีวีเมื่อวันที่ 13 ก.ค.พบว่า ประชาชนฝรั่งเศสกว่า 2 ใน 3 สนับสนุนมาตรการของประธานาธิบดีมาครง แต่ก็มีเสียงส่วนน้อยไม่เห็นด้วย เอโลดี เจ้าหน้าที่บ้านพักคนชรา วัย 34 ปีในเมืองสตราสบวร์ก ประณามแผนปล่อยให้บุคลากรด่านหน้าต้องรับศึกหนักในช่วงการระบาดระลอกแรก ถึงระลอกนี้พวกเธอยังถูกขู่ไม่จ่ายค่าจ้างหรือเผลอๆ อาจถึงขั้นไล่ออก ถ้าไม่ฉีดวัคซีน
“พวกเขาโกหกเรามาตั้งแต่แรก” เอโลดีกล่าว
ส่วนที่กรุงเอเธนส์ของกรีซ ประชากรราว 5,000 คน ประท้วงถือป้ายเขียนข้อความ “อย่าแตะต้องลูกหลานเรา” ที่อิตาลีผู้ชุมนุมรวมตัวกันในกรุงโรมต่อต้านการบังคับต้องโชว์ “กรีนพาส” เมื่อเข้าร้านอาหารและสถานบันเทิงในร่ม