ศบค. จับตา "คลัสเตอร์" นอก 29 จ. สีแดงเข้ม หลังพบยังมีการระบาด

วันนี้ (17 ก.ย.64) ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 ล่าสุด วันที่ 17 ก.ย. 64 ภาพรวมของการระบาดยังต้องคอยเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หลังพบผู้ติดเชื้อ โควิด-19 รายใหม่อีก 14,555  ราย แบ่งเป็น ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศและต่างประเทศ 13,765 ราย และผู้ติดเชื้อในเรือนจำ 790 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสมแล้วจนถึงวันนี้ 1,448,792 ราย 

 

 

ผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 171 ราย ทำให้การระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2564 มียอดผู้เสียชีวิตสะสมถึง 15,030 ราย ขณะที่ภาพรวมของการเสียชีวิตจากสถานการณ์โควิด-19 มีผู้เสียชีวิตรวม 15,124 ราย ผู้ที่กำลังรักษาตัวอยู่ 129,421 ราย กลุ่มคนไข้อาการหนักที่มีอาการปอดอักเสบที่น่าวิตก 3,851 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจอีก 787 ราย ยอดผู้ป่วยหายป่วยกลับบ้านวันนี้ 13,691 ราย สะสมตั้งแต่ 1 เมษายน 2564 มี 1,276,821 ราย

 

"จากนี้ สธ. เน้นย้ำว่า นอกเหนือจากการดูที่ติดเชื้อและยอดรวมแล้ว สิ่งที่ สธ. จะให้ความสำคัญ คือ ผู้ป่วยปอดอักเสบ และผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ เพราะการติดเชื้อเป็นตัวเลขต้องเฝ้าระวัง แต่หากตรวจพบเร็ว กักตัว ให้การรักษาที่เหมาะสม หากไม่มีโรคประจำตัว สามารถหายป่วย ปกติได้ แต่ตัวเลขที่ สธ. ระวัง คือกลุ่มปอดอักเสบ 17 ก.ย. มีทิศทางลดลงทุกพื้นที่ แต่ต้องดูความสอดคล้องกับปริมาณเตียงรองรับ และทรัพยากรที่จะรองรับ" ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าว

 

• ผู้สูงอายุ เสียชีวิตยังสูง

 

รายละเอียดผู้เสียชีวิต 177 ราย พบว่า เป็นชาย 82 ราย หญิง 89 ราย ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้สูงวัย 60 ปีขึ้นไป 125 ราย 73% และ โรคเรื้อรัง 38 ราย คิดเป็น 22% รวมทั้งสองกลุ่ม คิดเป็นสัดส่วนกว่า 95%

 

• ผู้ป่วย PUI ตรวจพบเชื้อกว่า 20%

 

พญ.อภิสมัย กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน อัตราตรวจด้วยวิธี RT-PCR จะพบการติดเชื้อ 18-19% โดย คนที่เดินเข้าไปตรวจ PUI ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีไข้ หรืออาการระบบทางเดินหายใจ จะพบติดเชื้อ 20% ขึ้นไป โดยเฉพาะกทม. 30% ขณะที่ภาคใต้บางพื้นที่ 49%

 

"เน้นย้ำ รพ. หากพบผู้ป่วยมีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ ขอให้ตรวจโควิด 100% และหากประชาชน พบอาการไข้ ระบบทางเดินหายใจ ขอให้แจ้งทาง รพ. ด้วย ส่วนภาพรวม ATK พบผลบวก 10% และบางพื้นที่อาจสูงเกิน 10%"

 

 

• เร่งแก้ไขจุดกระจาย ATK 

 

ขณะที่วานนี้ (16 ก.ย.64) สปสช. แจก ชุดตรวจ ATK โดยลงทะเบียนผ่าน “เป๋าตัง” สามารถเข้าไปประเมินตนเอง หลักๆ ตรวจสอบว่ามีอาการทางระบบทางเดินหายใจหรือไม่ อาศัยในพื้นที่เสี่ยง และมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อหรือผู้ที่มีความเสี่ยงหรือไม่

 

ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวว่า เกณฑ์ปัจจุบัน ใช้สำหรับมอบชุดตรวจฟรีที่กระจายไปแล้วเกินล้านชุดในกทม. ปริมณฑล มีการรายงานกลับเข้ามาว่าบางจุดรับไกลที่อยู่อาศัย ไม่สะดวก แออัดพอสมควร เพราะเป็นวันแรก 

 

อย่างไรก็ตาม สธ. และหน่วยงานพื้นที่เกี่ยวข้อง รับข้อเสนอทั้งหมด และจะเร่งกระจายจุดรับบริการให้มากขึ้น ฝากพี่น้องประชาชน ขณะไปรอรับขอให้เน้นย้ำมาตรการ เว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัย ลดการสัมผัส และเกณฑ์สำหรับการตรวจ ATK ระยะยาว เมื่อมี ATK เพียงพอมากขึ้น จะมีขั้นตอนการประเมินกลุ่มเสี่ยงเปลี่ยนแปลง ขอให้ติดตาม ตอนนี้ขอให้เป็นกลุ่มเสี่ยงก่อน แต่ระยะยาว ทุกคนคงจะได้รับการตรวจ เช่น คนที่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ในร้านอาหาร COVID-Free Setting ต้องมีผลตรวจ ATK เป็นลบ เพื่อให้ทุกคนกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ

 

• 10 จังหวัดติดเชื้อสูงสุด

 

สำหรับรายละเอียด จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศรายใหม่ 17 ก.ย. 64 พบว่า จังหวัดที่มีการติดเชื้อสูงสุดยังคงเป็น กรุงเทพมหานคร 2,911 ราย ถัดมา ได้แก่ สมุทราปราการ ชลบุรี ระยอง ราชบุรี ยะลา สมุทรสาคร ปราจีนบุรี นครศรีธรรมราช และสระบุรี ตามลำดับ

 

 

• จับตา "คลัสเตอร์" นอก 29 จ.สีแดงเข้ม

 

ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวต่อไปว่า กรมควบคุมโรค รายงานผู้ติดเชื้อในกลุ่มจังหวัดที่อาจจะไม่ติด 10 อันดับ แต่ไทม์ไลน์การติดเชื้อคล้ายกัน เช่น เชียงใหม่ ไม่ติดใน 10 อันดับ แต่การติดเชื้อ พบในกลุ่มงานเลี้ยง วงเหล้า รวมถึง ยังพบในการสังสรรค์ในสถานที่ราชการ เช่น สำนักงานการไฟฟ้าที่ จ.ศรีสะเกษ เป็นวงดื่มน้ำกระท่อม จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นคลัสเตอร์ โรงเรียนนายสิบ มีผลบวก 62 ราย และ จ.ชลบุรี มี 2 คลัสเตอร์ คือ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ และกำลังพลในเรือ สำหรับ จ.เพรชบุรี และ จ.สระบุรี เป็นแคมป์ก่อสร้าง ส่วน จ.จันทบุรี เป็นคลัสเตอร์ตลาด

 

สะท้อนให้เห็นว่า แม้บางจังหวัดไม่ติดอยู่ใน 29 สีแดงเข้ม และไม่ติดใน จ.ติดเชื้อสูงในแต่ละวัน แต่เราต้องจับตาเฝ้าระวัง เพราะการรวมกลุ่ม โดยเฉพาะคนใกล้ชิด คุ้นเคย และมีการเลี้ยงสังสรรค์ พบปะ อาจจมีการรับประทานอาหาร เปิดหน้ากาก ถือเป็นความเสี่ยง

 

ที่ประชุม ศบค. ชุดเล็ก ได้มีการหารือ โดยเน้นย้ำ ไปที่โรงเรียนประจำด้วย ไม่ใช่เฉพาะโรงเรียนประจำทั่วไป แต่หมายรวมถึง โรงเรียนทหาร มีศูนย์ฝึก หน่วยฝึกต่างๆ ที่นักเรียนอาจจะกินนอนในโรงเรียนประจำ แต่ครูที่ทำงานอาจจะเดินทางเข้าออก ต้องฝากเน้น เพราะส่วนหนึ่งที่สำคัญ คือ ผอ.ศบค. ได้เน้นย้ำในที่ประชุมสภากลาโหม ย้ำไปที่ ผบ.เหล่าทัพเสมอว่าขอให้มีการกวดขันมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

 

• ห่วงเทศกาลกินเจ - เกษียณอายุ 

 

พญ.อภิสมัย กล่าวต่อไปว่า ขณะเดียวกัน เร็วๆ นี้ จะมีเทศกาลสำคัญ ได้แก่ เทศกาลกินเจ เริ่ม 4 ต.ค. และ หลายพื้นที่เป็นจุดที่มีการจัดเทศกาล มีการเตรียมงาน ซึ่ง ศบค. ชุดเล็กเข้าใจว่าเป็นการสืบสานวัฒนธรรม เป็นงานบุญที่สำคัญกับประชาชนในพื้นที่ และประชาชน ต่างพื้นที่อาจมีการเดินทางข้ามไปร่วมกิจกรรม

 

อย่างไรก็ตาม ศบค. ชุดเล็ก มีความเป็นห่วง และได้หารือกันในวันนี้ว่า ขอให้พื้นที่ที่กำลังจะจัดงาน ฟังมาตรการทางสาธารณสุข ที่กระทรวงกำลังจะนำเรียนไปยังทุกๆ จังหวัดผ่านทาง ผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อ ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ขอให้ติดตาม กำกับมาตรการ และต้องมีมาตรการ รายละเอียด เช่นเดียวกับ เทศกาลสงกรานต์ ที่จัดได้เพราะมีความสำคัญ พื้นที่สามารถอำนวยความสะดวกให้ประชาชน แต่ต้องมีมาตรการ วิถีใหม่ ที่ต้องขอความร่วมมือ

 

• งานมุทิตาจิต จัดภายใต้มาตรการ

 

และอีกงานที่จะเกิดขึ้น คือ งานมุทิตาจิต เป็นช่วงที่ข้าราชการเกษียณ อาจจะมีการแสดงความยินดี รวมกลุ่ม ยินดีกลับผู้ที่ได้รับการเลื่อนระดับ ซึ่งในแต่ละท่านอาจจะเป็นผู้สูงอายุ และอาจมีโรคประจำตัว อย่างไรก็ตาม ศบค. ชุดเล็ก เข้าใจ ว่าการจัดงานมุทิตาจิต มีความสำคัญ เพราะบุคลากรที่เกษียณอายุเหล่านี้ ถือว่าเป็นบุคคลที่เป็นที่รัก ทำคุณงามความดีให้องค์กร การจัดงานสามารถแสดงออกถึงความขอบคุณ ให้เกียรติ ยกย่องความดี

 

"อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำ ขอความร่วมมือในมาตรการสาธารณสุข จัดพิธีได้ แต่ต้องสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หากเป็นไปได้ ขอให้ไม่มีการเลี้ยงสังสรรค์ หรือ ทานอาหารที่ทุกคนต้องเปิดหน้ากาก อาจทำให้มีความขัดข้องในช่วงหนึ่ง แต่เมื่อสถานการณ์ดีกว่านี้ เราจะสามารถขยายเรื่องของการผ่อนคลายได้มากขึ้น"

 

"สิ่งสำคัญ ที่ ผอ.ศปก.ศบค. เน้นย้ำ คือ หน่วยงานภาครัฐ ต้องเป็นตัวอย่าง มีมาตรการที่เข้มแข็ง เข้มงวด และทำให้ภาคเอกชน สถานประกอบการ ถือเป็นต้นแบบร่วมมือ ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ และทำให้ทุกคนปลอดภัยไปด้วยกัน" ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าว