เรียลแอสเสทชูM&A-ร่วมทุนยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นโซเท็ทสึผุดโครงการ

เรียลแอสเสทชูM&A-ร่วมทุนยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นโซเท็ทสึผุดโครงการ

เรียลแอสเสท งัดกลยุทธ์เติบโตก้าวกระโดดขยายโครงการด้วย M&A หวังสร้างรายได้ประจำพร้อมร่วมทุนยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นโซเท็ทสึผุดโครงการเผยปีนี้ผุดคอนโด-บ้านรวม 4 โครงการมูลค่า5.9พันล้านตั้งเป้า3 ปีพัฒนาโครงการรวมกว่า1.4หมื่นล้าน

นายบดินทร์ธร  จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เผยว่า แผนในปีนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการรวมมูลค่า5,900 ล้านบาท  ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดเพื่อจับกลุ่มตลาดกลางถึงตลาดบน ทั้งในรูปแบบของการพัฒนาโครงการเองและแบบการควบรวมกิจการหรือ  M & A (Mergers and Acquisitions ) พร้อมทั้งยังมองหาโอกาสขยายสู่การพัฒนาโครงการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์เพื่อเสริมสร้างกระแสเงินสดและราคาได้ประจำให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง

โดย ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะเปิดโครงการแนวราบ 2 โครงการ  คือ วีวัลดี บางนา บริเวณซอยวัดคลองปลัดเปรียง  ห่างจากถนนบางนาเพียง 1.8 กิโลเมตร พัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ที่เตรียมยกระดับมาตรฐานเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ราคาเริ่มต้นที่ 10-20 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,300 ล้านบาท ถัดมาเป็น วิรัณยา รังสิต - วงแหวน เป็นโครงการบ้านเดี่ยว บนทำเลวงแหวน -  ลำลูกกา คลอง 5  ราคาขายเริ่ม 3.XX ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,250 ล้านบาท

เรียลแอสเสทชูM&A-ร่วมทุนยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นโซเท็ทสึผุดโครงการ

ส่วนที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมมีแผนจะเปิด 2 โครงการ ได้แก่   โครงการเดอะ สเตจ เมดบายมี รัชดา เป็นคอนโดสูง 31 ชั้น บนทำเลรัชดา - ห้วยขวาง มูลค่าโครงการ2,130 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่ 2.89 ล้านบาท มีแผนที่จะเปิดขายรอบแรก Online booking 3 เม.ษ.นี้ ส่วนอีกโครงการจะเป็น แบรนด์ใหม่ชื่อโครงการ ARLO LASALLE 17 เดิมคือโครงการ The Excel ลาซาล 17 เป็นคอนโดโล  Low Rise 4 อาคาร บนที่ดินกว่า 4 ไร่ จำนวนห้องพักอาศัย 581 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 1,240 ล้านบาท

"โครงการนี้ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์  M & A  ช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาโครงการและสร้างผลตอบแทนเร็วขึ้น เป็นการเข้าซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเดิมที่มีศักยภาพมาพัฒนาต่อเพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ในช่วงต้นปี 2567 โดยจะเปิดขายในไตรมาส 3 / 2566"

เรียลแอสเสทชูM&A-ร่วมทุนยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นโซเท็ทสึผุดโครงการ

 

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ร่วมลงทุนกับ บริษัท โซเทสึ เรียลเอสเตท (SOTETSU) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Sotetsu Group ที่ดำเนินธุรกิจรถไฟและรถบัส ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ต และธุรกิจโรงแรมโดยส่วนใหญ่อยู่ในเมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น และมีประสบการณ์ดำเนินงานมาประมาณ 70 ปีในการพัฒนาที่อยู่อาศัย

ขณะนี้ ได้ร่วมลงทุนในโครงการ A Space Mega ,โครงการ THE STAGE Mindscape Ratchada – Huaikhwang  และ โครงการ VIVALDI Bangna รวมทั้งมีเป้าหมายจะพัฒนาโครงการใหม่ร่วมกันอีกในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทฯเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่สะสมมานานของ SOTETSU ที่จะมาช่วยยกระดับที่อยู่อาศัย ผ่านการออกแบบดีไซน์ ,ฟังก์ชัน , Innovation และ Sustainability

เรียลแอสเสทชูM&A-ร่วมทุนยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นโซเท็ทสึผุดโครงการ

 นายบดินทร์ธร  กล่าวว่า  ตลาดที่อยู่อาศัยยังมีทิศทางที่เติบโตและผู้บริโภคยังมีความต้องการ เพราะที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าภาคธุรกิจอสังหาฯ ยังเผชิญกับปัจจัยลบที่ต้องระมัดระวังในการกำหนดนโยบายธุรกิจ

ไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ราคาต้นทุนที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น และ ราคาวัสดุก่อสร้างที่มีทิศทางปรับราคาสูงขึ้นเช่นกัน  อย่างไรก็ตามก็ยังมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนและส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ธุรกิจต่างๆ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวไทยจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง รวมไปถึงการเปิดประเทศ ที่เริ่มมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น 

โดย เรียลแอสเสท ตั้งเป้าภายใน 3 ปี (2566-2568) จะพัฒนาโครงการรวมกว่า 14,000 ล้านบาท เพื่อสร้างสมดุลของรายได้ ระหว่าง รายได้จากการโอน และ Recurring Income  ทั้งนี้ตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะสร้างรายได้ประจำ( Recurring Income )จากการพัฒนา 3 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 1,700 ล้านบาท  โดยปี 2565 บริษัททำยอดขายได้ทั้งสิ้น 2,288 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายปี 2566  อยู่ที่ 3,470 ล้านบาท  ซึ่งเติบโตจากปีที่ผ่านมากว่า 50%

 ทั้งนี้ยังวางแผนนโยบายเชิงรุกจากการพัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูง จากโครงการที่เปิดใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการขายอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ยอดขายและรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด

โดยใน 3 ปีข้างหน้านี้ (ปี2566-2568) บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการ โดยเป้ายอดขายตั้งไว้อยู่ที่ 4,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนรายได้นั้นจะเริ่มเห็นชัดขึ้นในปี 2567 ที่คาดการณ์ว่าจะมีรายได้ถึง 7,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นสถิติ  New High ที่จะเกิดขึ้นของบริษัทฯ

ทั้งนี้บริษัทฯ มี Backlog รองรับการรับรู้รายได้ อยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาทและคาดการณ์ว่า จะสร้าง Backlog เพิ่มในช่วงปีนี้และปีถัดไปรวมอีก 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแผนการโอนในอนาคต