รื้อกฎหมายแก้เกมธุรกิจแพลตฟอร์มข้ามชาติเลี่ยงภาษี
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและสามารถสร้างมูลค่าตลาดได้อย่างมหาศาล คือ ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม ซึ่งสร้างมูลค่าการตลาดในประเทศไทย ณ ปี 2558 ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป็น 9 แสนล้านบาทในปี 2564
แม้จะมีมูลค่าการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ประเทศไทยยังไม่สามารถจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มหลายรายโดยเฉพาะที่มีสำนักงานในต่างประเทศ
เนื่องจากธุรกิจแพลตฟอร์มยอดนิยมส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ให้บริการระหว่างประเทศ แต่ปัจจุบันประมวลรัษฎากรให้อำนาจรัฐเก็บภาษีเฉพาะบริษัทข้ามชาติ ที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการ และมีสำนักงาน หรือมีการจ้างลูกจ้าง หรือตัวแทนดำเนินงานในประเทศไทยเท่านั้น
ขณะที่ธุรกิจแพลตฟอร์มเหล่านี้มักไม่มีสำนักงานในไทย และใช้ช่องทางอื่นในการขายหรือให้บริการกับผู้บริโภคที่อยู่ในประเทศไทย ประกอบกับหลายบริษัทก็เลือกไปจดทะเบียนบริษัท หรือตั้งสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ
บริษัทแพลตฟอร์มข้ามชาติเหล่านี้จึงสร้างผลประโยชน์จาก “ช่องว่าง” ของกฎหมาย ซึ่งไม่สอดรับกับรูปแบบการให้บริการของธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มในปัจจุบัน
ปัญหาการจัดเก็บภาษีธุรกิจแพลตฟอร์มหรือภาษีดิจิทัลนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลก ทำให้องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) จัดทำเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเจรจาหาแนวทางการจัดเก็บภาษีธุรกิจแพลตฟอร์มระหว่างประเทศ ตลอดจนแก้ปัญหาการเลี่ยงภาษี
และได้เสนอกรอบความร่วมมือเกี่ยวกับการป้องกันการโยกย้ายฐานภาษีของกลุ่มบริษัทข้ามชาติ (Erosion and Profit Shifting : BEPS) อันประกอบด้วย 15 แผนปฏิบัติการ เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว
หนึ่งในแผนปฏิบัติการที่สำคัญ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องภาษีธุรกิจแพลตฟอร์มระหว่างประเทศนั้นปรากฏอยู่ในแผนปฏิบัติการที่ 1 มีชื่อว่า “แนวทางการจัดเก็บภาษีเงินได้ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล” (Statement on a Two-Pillar Solution to Address the Tax Challenges Arising from the Digitalisation of the Economy) ซึ่งปัจจุบันได้รับความเห็นชอบจาก 138 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย และอยู่ระหว่างการพัฒนาแนวปฏิบัติสากลภายใต้หลักการสำคัญสองประการ
หลักการข้อแรก การแบ่งสัดส่วนสิทธิในการจัดเก็บภาษีใหม่ (Allocation Taxing Right) เพื่อให้ประเทศที่เกิดการบริโภคมีอำนาจจัดเก็บภาษีจากธุรกิจดิจิทัลขนาดใหญ่ได้
โดยการกําหนดให้การมีรายได้ในประเทศเป็น “จุดเกาะเกี่ยว” หรือจุดเชื่อมโยงที่ทำให้รัฐมีอำนาจจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล หลักการนี้จะทำให้รัฐบาลประเทศนั้นๆ สามารถเก็บภาษีธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ไม่มีการประกอบกิจการทางกายภาพได้
ตัวอย่างเช่น บริษัทแพลตฟอร์ม A มีสำนักงานอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์และไม่มีสำนักงานในไทย บริษัทนี้ให้บริการดูหนังสตรีมมิงผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตแก่ผู้บริโภคในไทย และมีรายได้จากประเทศไทย
กรณีเช่นนี้กฎหมายปัจจุบันตามประมวลรัษฎากรนั้นยังไม่ให้อำนาจรัฐไทยจัดเก็บภาษีจากบริษัท A เนื่องจากกฎหมายเดิมยังยึดจุดเกาะเกี่ยวจาก “การที่บริษัทมีสำนักงานในไทย” ในขณะที่หลักการของ OECD ให้อำนาจรัฐไทยจัดเก็บภาษีในกรณีดังกล่าวได้เนื่องจากยึดจุดเกาะเกี่ยวจาก “การให้บริการในประเทศ”
หลักการข้อสอง ข้อตกลงร่วมในการกำหนดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำของโลก (Global Minimum Tax) มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของบริษัทข้ามชาติ ที่โยกย้ายกําไรไปบริษัทในเครือที่ตั้งในประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ
โดยบริษัทในเครือกิจการข้ามชาติที่มีรายได้สูงเกินกว่า 750 ล้านยูโร จะต้องชําระอัตราภาษีที่แท้จริงไม่ต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำที่ถูกกำหนดไว้ที่ร้อยละ 15
ตัวอย่างเช่น บริษัทข้ามชาติ A เป็นบริษัทในเครือกิจการข้ามชาติมีรายได้สูงเกินกว่า 750 ล้านยูโร (อยู่ในขอบเขตต้องเสียภาษีในอัตราขั้นต่ำ) แต่บริษัทนี้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทำให้ต้องจ่ายภาษีจริงเพียงแค่ในอัตราร้อยละ 9 ซึ่งไม่ถึงอัตราขั้นต่ำตามหลักการข้อสอง
หลักการนี้กำหนดให้บริษัทข้ามชาติ A ต้องชำระภาษีส่วนเพิ่มอีกร้อยละ 6 เพื่อให้จ่ายภาษีเท่ากับอัตราขั้นต่ำ หรือร้อยละ 15 นั่นเอง
จากการเปลี่ยนแปลงข้างต้น ประเทศไทยควรปรับปรุงกฎหมายภายในให้พร้อมเพื่อนำหลักการนี้มาใช้ โดยพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
เพื่อให้รัฐบาลไทยมีอำนาจจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกําไรสุทธิของกิจการข้ามชาติขนาดใหญ่ ที่สร้างรายได้จากการขายสินค้าและบริการให้แก่ผู้บริโภคในประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องมีสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย และปรับอัตราภาษีเงินได้ที่จ่ายจริงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 สำหรับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีรายได้ทั่วโลกรวมเกินกว่า 750 ล้านยูโร
นอกจากเรื่องการปรับกฎหมายในประเทศแล้ว ไทยยังต้องปรับข้อตกลงทางภาษีระหว่างประเทศที่ไทยมีอยู่กับคู่สัญญาแต่ละประเทศซึ่งเรียกว่า “อนุสัญญาภาษีซ้อน” (Double Tax Agreement : DTA) ให้สอดคล้องกับหลักการของ OECD ด้วยเช่นกัน
โดยไทยควรพิจารณาเข้าร่วมเจรจาอนุสัญญาพหุภาคี (Multilateral Convention : MLC) ของ OECD ที่จะถือให้ MLC เป็นการแก้ไขอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศคู่สัญญาที่เป็นภาคีความร่วมมือไปในคราวเดียว
อย่างไรก็ดี แม้ว่ารัฐบาลไทยให้ความสนใจแก้ไขปัญหาการจัดเก็บภาษีเงินได้จากธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม และกรมสรรพากรเองก็ตื่นตัวต่อการเข้าร่วมเวทีเจรจาของ OECD สะท้อนจากความพยายามแก้ไขกฎหมายให้สอดรับกับให้แนวทางของ OECD
แต่ความท้าทายต่อไปคือการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งไทยจะสามารถเรียกเก็บภาษีจากบริษัทแพลตฟอร์มได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่ศักยภาพในการจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่างประเทศ ว่าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ซึ่งยังเป็นโจทย์สำคัญที่ไทยต้องดำเนินการต่อไป.