‘ไมโครซอฟท์’ ส่ง Surface ใหม่รุกองค์กร
ขานรับเทรนด์การทำงานวิถีใหม่ ส่งผลิตภัณฑ์เรือธงตระกูล “เซอร์เฟซ โปร” ลงตลาดไทยอย่างเป็นทางการ ชี้การทำงานยุคใหม่ต้องยืดหยุ่น อุปกรณ์เชื่อมต่อได้หลากหลาย รองรับการประชุมผ่านวีดิโอ ปลอดภัยไซเบอร์
นางสาวชนิกานต์ โปรณานันท์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและปฏิบัติการ ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ไมโครซอฟท์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์เรือธงรุ่น “เซอร์เฟซโปร 7 พลัส(Surface Pro 7+)” สำหรับลูกค้าธุรกิจและภาคการศึกษาในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ มุ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตวิถีใหม่ ทั้งด้านการออก ฟีเจอร์ ฟังก์ชั่น รวมถึงระบบซิเคียวริตี้ แนวทางการทำตลาดจะทำให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์ รวมถึงองค์กรระดับกลางและเอสเอ็มอี โดยรุ่นที่นำเข้ามาจะพิจารณาตามความต้องการของตลาด สำหรับในไทยเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 8 ก.พ.
ด้านสเปค มาพร้อมโปรเซสเซอร์อินเทลคอร์ เจนเนอเรชั่นที่ 11 รุ่นล่าสุด ซึ่งทำให้ดีไวซ์มีประสิทธิภาพที่เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 2.1 เท่า อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นสูงสุด 15 ชั่วโมง ระบบเชื่อมต่อกับหน้าจอ ดอคกิ้ง สเตชั่นแบบครบวงจร หรืออุปกรณ์ชาร์จต่างๆ พอร์ตยูเอสบีเอ และยูเอสบีซี
นอกจากนี้ มีพร้อมกล้องหน้าและกล้องหลังความละเอียดวีดิโอ 1080p ฟูลเอชดี ลำโพงดอลบีแอทมอส ไมโครโฟนคู่สตูดิโอมิคส์ ตัวเครื่องน้ำหนักเบา เทียบกับรุ่นก่อนหน้าเบากว่าถึง 23% พร้อมทางเลือกแบบแอลทีอี แอดวานซ์ สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อให้พนักงานยังสามารถเชื่อมต่อได้แม้สัญญาณไวไฟที่บ้านมีจำกัด หรืออยู่ในสถานที่ห่างไกล ราคาเริ่มต้นที่ 30,900 บาท
จากการพูดคุยกับลูกค้าและงานวิจัยร่วมกับพันธมิตรพบว่า อนาคตของการทำงานและการเรียนรู้จะเป็นแบบผสมผสานและต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยมุมมองเกี่ยวกับการทำงานจากที่ไหนก็ได้เปลี่ยนไป โดย 82% ของผู้จัดการกล่าวว่า พวกเขาจะมีนโยบายสำหรับการทำงานที่บ้านที่ยืดหยุ่นขึ้นหลังเกิดโรคระบาด และพนักงาน 71% ต้องการทำงานจากที่บ้านต่ออย่างน้อยเป็นบางเวลา หลายคนแบ่งพื้นที่บางส่วนในบ้านมาเป็นพื้นที่ทำงาน ขณะที่บางคนย้ายไปทำงานตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
นอกจากนี้ การเชื่อมต่อมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจในยุคนี้ การที่คนหลายคนในครัวเรือนมีการเชื่อมต่อจากที่บ้าน ทำให้การใช้งานเครือข่ายหนาแน่น คนในบ้านจึงหันมาใช้ฮอตสปอตจากโทรศัพท์มือถือบ่อยขึ้นในการประชุม เพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่สามารถรองรับได้ไหว
ขณะที่ การพูดคุยผ่านกล้อง คือนิยามใหม่ของการเห็นหน้ากัน ไมโครซอฟท์ได้เรียนรู้จากงานวิจัยว่า ขณะนี้ผู้คนรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันมากขึ้น และเมื่อพูดคุยกันผ่านวิดีโอคอลพบว่า พวกเขามีมุมมองที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านที่เหมือนมีค่ามากขึ้นด้วยซ้ำ รวมถึงรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานทางไกลร่วมกับทุกคนในห้องประชุมเดียวกัน
ที่สำคัญ ระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรจากออฟไลน์สู่คลาวด์เพราะต้องให้ความสำคัญมากกว่าเดิม หลายองค์กรต้องการความมั่นคงและปลอดภัยของข้อมูลและกระบวนการทำงาน เพื่อให้สามารถทำงานระยะไกลและแบบไฮบริดได้ ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้จึงจำเป็นต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนด้านความปลอดภัยเพื่อให้สามารถครอบคลุมดูแลได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ให้ประสิทธิภาพงานตามที่ต้องการ เพื่อรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ