'โดนัลด์ ทรัมป์' ลั่นถ้าแพ้จะไม่ลง เลือกตั้งสหรัฐ อีก

'โดนัลด์ ทรัมป์' ลั่นถ้าแพ้จะไม่ลง เลือกตั้งสหรัฐ อีก

โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ถ้าแพ้วันที่ 5 พ.ย. จะไม่ลง เลือกตั้งสหรัฐ อีก ขณะที่โพลเอ็นบีซีนิวส์ชี้ รองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส มีคะแนนนำ 5% ผู้ให้ข้อมูลชื่นชอบเธอมากขึ้นนับตั้งแต่เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตสู้ศึกชิงทำเนียบขาว

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงาน อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78 ปี เผยกับรายการ Full Measure ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ (22 ก.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ตอบคำถามว่าจะลง เลือกตั้งสหรัฐ เป็นครั้งที่ 4 หรือไม่หากพ่ายแพ้ในครั้งนี้

“ไม่นะ ผมคิดว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ลงอีกแล้ว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะประสบความสำเร็จ” ทรัมป์กล่าว

โดยเขาต้องเจอการแข่งขันดุเดือดกับ คามาลา แฮร์ริส ชนิดหายใจรดต้นคอในรัฐสมรภูมิสำคัญ ขณะที่แฮร์ริสเริ่มได้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นในระดับประเทศ

เมื่อปี 2020 ทรัมป์ ประกาศลงเลือกตั้งอีกครั้งในวันเดียวกับที่เคยสาบานตนในปี 2017 และประกาศลงเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดเมื่อสองปีก่อน ในเดือน พ.ย.2022

ระหว่างการหาเสียงล่าสุดทรัมป์ยังได้เปิดตัวธุรกิจใหม่จำนวนหนึ่ง เช่น ทรัมป์มีเดีย, เอ็นเอฟที, รองเท้ากีฬา, เหรียญ และคริปโทแบรนด์ทรัมป์

ด้านผลสำรวจความคิดเห็นของเอ็นบีซีนิวส์ เผยแพร่ในวันเดียวกัน สำรวจจากผู้ลงทะเบียนเลือกตั้ง 1,000 คน สำรวจระหว่างวันที่ 13-17 ก.ย. ค่าความผิดพลาด 3% ผู้ให้ข้อมูล 40% มีมุมมองเชิงบวกต่อการที่แฮร์ริสเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต เทียบกับตัวเลข 32% ในเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้นมากที่สุดในบรรดานักการเมืองนับตั้งแต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช มีเรตติ้งพุ่งหลังการโจมตีเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2001 ที่เอ็นบีซีนิวส์เคยสำรวจ

ส่วนทรัมป์ ผู้ให้ข้อมูล 40% มีมุมมองบวกเทียบกับ 38% ในเดือน ก.ค.

โพลอีกชุดหนึ่งของซีบีเอสนิวส์ แฮร์ริสนำทรัมป์4% ที่ 52% ต่อ 48% ค่าความผิดพลาดบวกลบไม่เกิน 2% ทั้งสองโพลสอดคล้องกับโพลระดับชาติล่าสุด รวมถึงของรอยเตอร์ส/อิปซอส ที่บ่งชี้ว่าการเลือกตั้งวันที่ 5 พ.ย.เป็นไปอย่างสูสี

แม้ผลสำรวจความคิดเห็นระดับชาติจะส่งสัญญาณสำคัญถึงมุมมองของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ผลคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งในแต่ละรัฐกลับเป็นตัวชี้ขาด และรัฐสมรภูมิไม่กี่รัฐส่อเค้าเป็นตัวตัดสิน

ทรัมป์ กำลังลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นครั้งที่ 3 หลังจากพ่ายแพ้ให้กับโจ ไบเดน ในปี 2020 ที่เขากล่าวโทษมาตลอดว่าโกงกันอย่างกว้างขวาง คำกล่าวหาเท็จทำให้ทรัมป์ต้องเจอคดีอาญาทั้งระดับมลรัฐและระดับประเทศ ในข้อหาพยายามพลิกผลการเลือกตั้ง

ส่วนแฮร์ริสรองประธานาธิบดีวัย 59 ปี อดีต ส.ว. และอดีตอัยการ ถ้าชนะเลือกตั้งจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ 248 ปีของสหรัฐ

“เธอสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้ จากการแข่งขันที่เป็นการลงประชามติโจ ไบเดน มาเป็นการแข่งขันที่เป็นการลงประชามติโดนัลด์ ทรัมป์” เอมี วอลเตอร์ ผู้พิมพ์และบรรณาธิการบริหารCook Political Report สื่อไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด กล่าวในรายการ Meet the Press ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี

ทั้งนี้ ซีบีเอสสำรวจจากผู้ลงทะเบียนเลือกตั้ง 3,129 คน ระหว่างวันที่ 18-20 ก.ย. โดยแฮร์ริสมีคะแนนขยับขึ้นมา 2% หลังจากเสมอ 50-50 ในเดือน ส.ค. คะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากผลงานการดีเบตเมื่อวันที่ 10 ก.ย. และแนวโน้มเศรษฐกิจสดใส