10 ข่าวเศรษฐกิจโลก 2024 'ปีทองของการลงทุน' ยุคโลกหั่นดอกเบี้ย
ปี 2024 เป็นอีกปีหนึ่งที่ "เศรษฐกิจโลก" ต้องเผชิญกับความท้าทายและความผันผวนอย่างมากจากปัจจัยหลายประการที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือได้ว่าเป็น "ปีทองของการลงทุน"
เมื่อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ไปจนถึงสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและบิตคอยน์ล้วนทุบสถิติใหม่เป็นว่าเล่น จากอานิสงส์ของปีแห่งการเริ่มต้นวัฎจักรการลดดอกเบี้ยทั่วโลก
"กรุงเทพธุรกิจ" สรุป 10 เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เห็นภาพรวมของเศรษฐกิจตลอดทั้งปี 2567 มาดังนี้
1.Black Monday
ตั้งแต่ต้นปีทั่วโลกตั้งตารอ “ธนาคารกลางสหรัฐ” (เฟด) ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปีในเดือนส.ค. แต่เมื่อสหรัฐรายงานการจ้างงานประจำเดือนกรกฎาคมที่อ่อนแอเกินคาด จุดชนวนความกังวลว่า "เศรษฐกิจโลก" อาจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้เกิด “แบล็กมันเดย์” (Black Monday) ในรอบเกือบ 37 ปี
ดัชนีหุ้นทั่วโลกกอดคอดิ่งหนักในวันที่ 5 ส.ค. เริ่มต้นที่ตลาดหุ้นนิกเกอิ 225 ร่วงลง 12% ในวันเดียว ลามไปทั่วเอเชียถึงสหรัฐ และยุโรปก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วง 1 สัปดาห์ถัดมา
2.เริ่มวัฎจักร ‘ดอกเบี้ยขาลง’
หลังจากนั้นในเดือน ก.ย. ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประกาศดดอกเบี้ย 0.5% ครั้งแรกในรอบ 4 ปี เหนือความคาดหมายของตลาด ถือเป็นการเริ่มต้นวัฏจักรของการลดดอกเบี้ยอย่าง "เข้มข้น" ซึ่งนำธนาคารกลางทั่วโลกพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยตามไปด้วย
ถัดมาในเดือน พ.ย. เฟดประกาศลดดอกเบี้ยอีก 0.25% และการประชุมครั้งสุดท้ายของปีในเดือน ธ.ค. เฟดลดดอกเบี้ยอีก 0.25% โดยเป็นการปรับลดครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่เฟดส่งสัญญาณว่าในปีหน้าจะมีการลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดก่อนหน้านี้
รายงานการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ล่าสุดระบุว่า ค่ากลาง (Median) ของการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 อยู่ที่ 0.50% ซึ่งเทียบเท่ากับการปรับลดเพียง 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% โดยมีเจ้าหน้าที่ 5 คนจากทั้งหมด 19 คน ที่เห็นควรให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% หรือมากกว่า
3.Nvidia มีมูลค่าสูงสุดในโลก
อินวิเดีย (Nvidia) ผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่ แซงหน้า Apple ขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก 3.53 ล้านล้านดอลลาร์ และสลับกันขึ้นสู่ตำแหน่งนี้
หากดูผลงานใน ‘7 หุ้นนางฟ้า’ กลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของตลาดหุ้นสหรัฐ อินวิเดียเป็นหุ้นที่ทำผลงานได้โดดเด่น สร้างผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันถึง 190% ทั้งรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากกระแส AI โดยมีการเปิดตัวชิปรุ่นใหม่ "Blackwell" คาดว่าจะได้รับความต้องการสูงจากตลาด
นอกจากนี้ Nvidia ยังขยายตลาดไปยังการค้นคว้ายา หุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ และโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับประเทศ (Sovereign AI) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรม
หุ้น Nvidia กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยมีกระแสเงินทุนไหลเข้า 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่า S&P 500 ETF ถึง 2 เท่า และมีแนวโน้มที่จะแซงหน้า Tesla ซึ่งเป็นหุ้นที่นักลงทุนนิยมในปีที่ผ่านมา
4.‘ทองคำ’ ทำนิวไฮ
ราคาทองคำโลกเพิ่มขึ้น 28% ในปีนี้ปรับขึ้นมากกว่า700 ดอลลาร์ ยืนเหนือ 2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงปลายเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับราคาขึ้นรายปีที่ดีที่สุดในรอบ 14 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา
ราคาทองคำทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จนทำนิวไฮใหม่ 40 ครั้งในปีนี้ จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสงครามที่ร้อนระอุในตะวันออกกลาง ประกอบกับความต้องการจากธนาคารกลางโดยเฉพาะ “ธนาคารกลางจีน” (PBOC) ที่ทำสถิติตะลุยซื้อทองคำสำรองติดต่อกันทุกเดือนนานถึง 18 เดือนจนถึงเมษายนปีนี้
ในขณะที่อุปสงค์ความต้องการทองคำทั่วโลกยังพุ่งทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไปเมื่อไตรมาส 3 ก่อนที่ความร้อนแรงของทองคำจะชะลอตัวลงและเจอแรงเทขายหนักในช่วงเดือนพ.ย. เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทำให้เงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำไปสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นและคริปโทเคอร์เรนซีแทน
5.‘ทรัมป์’ เขย่าโลก
โดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 และพรรครีพับลิกันครองเสียงส่วนใหญ่ทั้งในสภาบนและสภาล่าง ทั่วโลกโฟกัสเศรษฐกิจปี 2025 หลังเข้าพิธีสาบานตนวันที่ 20 ม.ค.
การหวนคืนทำเนียบขาวของโดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยที่ 2 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการปรับรูปโฉมนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสำคัญในหลายด้าน ในบริบทที่สงครามและความไม่แน่นอนยังเกาะกุมอยู่ในหลายส่วนของโลก ทั้งรัสเซีย ยูเครน และนาโต ตะวันออกกลาง รวมถึงจีนและสงครามการค้ารอบใหม่ที่อาจรุนแรงกว่าเดิม
6.บิตคอยน์ 1 แสนดอลลาร์
“บิตคอยน์” ติดอันดับ 1 ในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนมากที่สุดในโลก เพิ่มขึ้น 121% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน และเพิ่มขึ้น 58.79% นับตั้งแต่ “โดนัล ทรัมป์” คว้าชัยชนะ
ราคาบิตคอยน์ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี เนื่องจากมีปัจจับสนับสนุน ทั้งการอนุมัติกองทุนบิตคอยน์อีทีเอฟของก.ล.ต.สหรัฐ และบิตคอยน์ฮาล์ฟวิ่ง ปรากฎการณ์ที่จะเกิดขึ้นในรอบ 4 ปี แต่ก็ไม่สามารถดันราคาให้พุ่งขึ้นจนทุบสถิติได้
แต่นโยบายหาเสียงของทรัมป์ที่เผยว่าจะทำให้จะดันให้สหรัฐฯ เป็นเมืองหลวงของคริปโทเคอร์เรนซี และจะตั้ง”กองทุนสำรองบิตคอยน์ทางยุทธศาสตร์" (Bitcoin Strategic Reserve Rund)" ขึ้นมาในสหรัฐ นั้นจุดกระแสความสนใจของบิตคอยน์ขึ้นมาคึกคักอีกครั้ง
7.อีลอน มัสก์ รวย 4 แสนล้านดอลลาร์ คนแรกของโลก
อีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัทเทสลา (Tesla) และสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) มีทรัพย์สินทะลุ 400,000 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 13ล้านล้านบาท เป็นคนแรกของโลก หลังจากตกลงขายหุ้นบริษัทสเปซเอ็กซ์ ซึ่งทำให้เขารวยขึ้นรวดเดียว 50,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,693,025 ล้านบาท)
มัสก์ยังรวยเพิ่มขึ้นถึง 77% นับตั้งแต่ทรัมป์คว้าชัยชนะ ซึ่ง นักลงทุนคาดหวังว่าความใกล้ชิดของมัสก์กับประธานาธิบดีทรัมป์อาจช่วยหนุนธุรกิจ Tesla โดยเฉพาะในด้านนโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและระบบขับขี่อัตโนมัติ ทำให้ราคาหุ้นเทสลาพุ่งกว่า 69% จนทำนิวไฮใหม่ในรอบ 3 ปี
8.ฮอนด้า ควบรวม นิสสัน
"ฮอนด้า - นิสสัน" ออกแถลงการณ์ร่วมยืนยันการเซ็นเอ็มโอยู "ควบรวมกิจการ" นับเป็นช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น ที่ตอกย้ำถึงภัยคุกคามที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนเข้ามาสร้างแรงสั่นสะเทือนยักษ์ใหญ่ยานยนต์เจ้าเก่าที่ครองตลาดมายาวนานนี้
การรวมตัวกันของค่ายยักษ์ใหญ่อันดับ 2 และ 3 ของญี่ปุ่นจะทำให้บริษัทมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากโตโยต้าและโฟล์คสวาเกนทันที ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะเป็นการสรุปรายละเอียดของการผนวกกิจการช่วงเดือนมิถุนายนปีหน้า เพื่อจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งร่วมกัน ภายในเดือนส.ค.ปี 2026 ที่หุ้นของทั้ง 2 บริษัทจะออกจากตลาดหลักทรัพย์
9.ปีทอง ‘ตลาดหุ้น’ ทั่วโลก
แม้ว่าจะเกิดแบล็กมันเดย์ที่ทำให้ตลาดหั้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่ราคาหุ้นเทคโนโลยีทำผลงานได้อย่างโดดเด่น เช่น อินวิเดีย เทสล่า ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปิดตลาดท้ายปีเพิ่มขึ้นกว่า 17% เติบโต นำโดยดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน 23.1% ทำสถิตินิวไฮถึง 57 ครั้งในปีนี้ ดัชนี MSCI China ให้ผลตอบแทน 16.2% ส่วน ดัชนี MSCI Europe โตต่ำสุดที่ 1.6%
สำหรับตลาดหุ้น “เอเชีย” ปี 2024 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยส่วนใหญ่ปิดตลาด ณ วันที่ 23 ธ.ค.อยู่ในแดนบวก หลังจากธนาคารกลางของภูมิภาคผ่อนคลายนโยบายการเงิน รวมทั้งการเติบโตของ AI ก็ส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนตลาด “หุ้นไทย” ยังติดลบผลตอบแทนรั้งท้าย ส่วนปีหน้าธนาคารโนมูระรายงานถึงความกังวลของไทยที่ต้องรับมือกับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนและนโยบายการค้าสหรัฐภายใต้การนำของทรัมป์ เช่น การผลิตสินค้าเกินความต้องการของจีน และภาวะชะลอตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
10.แห่งปีการเลย์ออฟ(ต่อ)
ปรากฏการณ์การเลิกจ้างพนักงานในวงการเทคโนโลยีในปี 2024 ยังคงดำเนินต่อไปในปีนี้ เลย์ออฟดอทเอฟวายไอ (Layoffs.fyi) รายงานว่ามีบริษัทเทคโนโลยีกว่า 384 แห่งทั่วโลกตัดสินใจปลดพนักงานรวมกันกว่า 124,000 ตำแหน่งในปี 2024 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและสะท้อนถึงความผันผวนอย่างรุนแรงในอุตสาหกรรมนี้
ถ้าหากรวมกับจำนวนพนักงานที่ถูกเลิกจ้างในปี 2022 และ 2023 แล้ว จะพบว่ามีพนักงานเทคโนโลยีกว่า 428,449 คนทั่วโลกต้องสูญเสียงานในช่วงระยะเวลาเพียง 3 ปี การเลิกจ้างจำนวนมากในภาคเทคโนโลยีสะท้อนว่ามีความรุนแรงกว่าตลาดแรงงานโดยรวมอย่างมาก