เปิด 8 ทำเลดันยอดอสังหาฯ ต่อลมหายใจตลาดขาลง

เปิด 8 ทำเลดันยอดอสังหาฯ ต่อลมหายใจตลาดขาลง

แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีสัญญาณชะลอตัวตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ทว่าในมุมมองของบริษัทที่ปรึกษาอสังหาฯ มองว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่ ยังไม่ถึงจุดวิกฤติ อาทิ ยังมีดีมานด์ในบางทำเล โดยเฉพาะ 8 ทำเลเด่น ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า

กรรมการผู้จัดการ บริษัทเน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง ยังประเมินว่า จากแนวโน้มการเปิดตัวคอนโดที่ชะลอตัว ทำให้คาดว่า ภาพรวมการเปิดตัวคอนโดทั้งปีคาดว่าจะไม่เกิน 45,000 หน่วย(ยูนิต) เป็นอัตราลดลงจากช่วง3-4 ปีก่อนหน้า เมื่อตลาดหดตัวทำให้เกิดการปรับแผนพัฒนาโครงการใหม่ลดลง 30% โดยที่ผ่านมามีคอนโดเหลือขายสะสมอยู่ที่ 6.45 แสนยูนิต ขณะที่อัตราดูดซับอยู่ที่ 86% ทำให้คาดว่าปีนี้จะมีคอนโดเหลือสะสมประมาณ 8 หมื่นหน่วย ใช้เวลา 2 ปีจากนี้ในการระบายสต็อกดังกล่าว 

nexus3

สำหรับการสถานการณ์ราคาอสังหาฯ ในปี 2562 พบว่า ราคาเฉลี่ยคอนโดในกรุงเทพฯ ปรับตัวสูงขึ้น แต่ลดลงกว่าที่คาดการณ์ที่จะมีราคาสูงขึ้น 7-8% ภาพรวมคาดว่าทั้งปีราคาจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6% ส่วนคอนโดที่ขายได้ และสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ จะอยู่ที่ช่วงราคา 2.5-6 ล้านบาทต่อยูนิต ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 75,000-110,000 บาทต่อตร.ม. ซึ่งเซ็คเมนต์นี้มีสัดส่วนถึง 70%ของภาพรวมตลาด

ส่วนตลาดที่ยังไปได้ดีแต่ซัพพลายมีจำกัด คือตลาดในระดับราคา 6-15 ล้านบาทต่อยูนิต หรือราคาเฉลี่ย 110,000-190,000 บาทต่อตร.ม. ตลาดที่น่าห่วงคือระดับราคาต่ำกว่า1.8ล้านบาท เพราะได้รับผลกระทบหนี้สินครัวเรือนและเครดิตของผู้กู้เองทำให้ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ เช่นเดียวกันกับตลาดลักชัวรีและไฮเอนด์ ราคาตั้งแต่ 15-30 ล้านบาทต่อยูนิต หรือ200,000 -290,000 บาทต่อตร.ม. เป็นกลุ่มนักลงทุนที่ความต้องการหายไป 10-15%จึงส่งผลทำให้ตลาดกลุ่มนี้ยอดขายไม่ดีนักหากต้องการพัฒนาตลาดควรหันไปพัฒนากลุ่มซูเปอร์ลักชัวรี ที่ราคา 290,000 บาทต่อตร.ม. ที่นำเสนอความพิเศษให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ต้องการอยู่อาศัยจริงและมีกำลังซื้อ เพียงแต่จะต้องพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ตามความต้องการแท้จริง

ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯที่พัฒนาสินค้าไม่ตรงกับความต้องการมักจะชะลอการพัฒนาและหันไปลงทุนด้านการค้า ค้าปลีก โรงแรม รวมถึงสำนักงานให้เช่าเพื่อสร้างพอร์ตรายได้ประจำให้กับธุรกิจ เพื่อบริหารความเสี่ยง