ข้อครหาเทขาย AOT ราคาหุ้น ‘แพง’หรือ ‘short sell’
แทบจะไม่มีใครคาดคิดหุ้นใหญ่มาร์เก็ตแคปอันดับ 2 ตลาดหุ้นไทย บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) จะเผชิญแรง short sell พาหุ้นไทยร่วงลงจนกลับมาหลุด 1,400 จุด อีกครั้ง ด้วยหุ้นจำนวนมากอยู่ในมือของกระทรวงการคลัง กองทุนขนาดใหญ่ รวมถึงเป็นธุรกิจผูกขาดจึงยากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
ปรากฏมีการไล่เทขายหุ้น AOT 3 วันติดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (21 พ.ย.- 23 พ.ย.66) จากราคาหุ้น 69.00 บาท อยู่ที่ 62.25 บาท และ 27 พ.ย.66 ราคาหุ้นได้ทำนิวโลว์ที่ 60.50 บาท และมาปิดตลาดที่ 61.00 บาท ลดลง 1.50 บาทเปลี่ยนแปลง 2.40%
ที่สำคัญยังมีสัดส่วนการซื้อขายผ่านโปรแกรมเทรดถึง 40% ของการซื้อขายหุ้นในวัน 23-24 พ.ย.66 และด้วยราคาหุ้นที่ร่วงแรงทำให้หนีไม่พ้นการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการทำ short sell ผ่านโปรแกรมเทรด ประเภท HFT หรือไม่
การปรับตัวลงแรงของ AOT มีผลต่อดัชนีหุ้นไทยแน่นอนคิดเป็น 3-4% ของดัชนี ส่งผลทำให้มูลค่าหุ้นของผู้ที่ถือครองลดลงตามไปด้วยนอกเหนือจากราคาหุ้นปรับตัวลง โดยวัดจากมูลค่ามาร์เก็ตแคปสิ้นปี 2565 ที่ 1.07 ล้านล้านบาท เหลือ 8.9 แสนล้านบาท ลดลงเกือบ 17%
ด้านมูลค่าหุ้น AOT ชั่วโมงนี้ถือว่าอีกปัจจัยที่ทำให้จุดพลุเทขายหุ้นออกมาด้วยอัตราหุ้นต่อกำไร (P/E) แตะ 101 เท่าสูงมากเทียบกับหุ้นสนามบินต่างประเทศ ด้วยความหวังการฟื้นเศรษฐกิจของไทยด้วยเครื่องยนต์ที่ยังเหลืออยู่คือ ภาคการท่องเที่ยว ทำให้ AOT เป็นหุ้นที่แข็งกว่าตลาดหุ้นไทย
แต่หลังจากรายงานผลประกอบการปี 2566 สิ้นสุด 30 ก.ย.2566 แม้กำไรสุทธิกลับมาเป็นบวกจากช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์โควิดทำให้ AOT เผชิญตัวเลขขาดทุนทั้งผู้โดยสารลดลง และมาตรการช่วงเหลือคู่ค้าจนปีงบประมาณ 2564-2565 ขาดทุน กลับเจอรายการเซอร์ไพรส์ " ขยายระยะเวลามาตรการให้ความช่วยเหลือสายการบิน และผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ออกไปอีก 5 เดือน "
บวกกับการฟื้นตัวนักท่องเที่ยวจีนไม่เป็นไปตามคาด ทำให้หุ้นที่ถูกคาดหวังการฟื้นตัวแรง – เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ มาพร้อมการขยายพื้นที่สนามบินรองรับผู้โดยสารในอนาคต จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายในระยะเวลานี้
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคจีไอ (ประเทศไทย) ปรับลดคาดการณ์กําไรสุทธิ AOT ปี 2567 จะอยู่ที่ 2.27 หมื่นล้านบาท และปี 2568 จะอยู่ที่ 2.72 หมื่นล้านบาท สะท้อนสมมติฐานใหม่ของจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ
โดยประเด็นสําคัญได้แก่ การปรับสมมติฐานจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ถึงแม้ว่าจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย จะเพิ่มขึ้นในช่วงสิบเดือนแรกของปี 2566 แต่ยังต่ำกว่าที่คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ที่ประมาณ 28 ล้านคน ในปี 2566
ปัจจัยสําคัญที่ทําให้จํานวนนักท่องเที่ยวต่ำกว่าที่คาดไว้คือ จํานวนนักท่องเที่ยวจีนต่ำเกินคาด โดยอยู่ที่ 2.78 ล้านคนในงวด 10 แรกปี 2566 เพราะเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง และมีปัจจัยลบอื่นๆ ที่กระทบกับจํานวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยในปีนี้
ดังนั้น KGI จึงปรับลดประมาณการจํานวนนักท่องเที่ยวจีนปีนี้ลงเหลือ 3.4 ล้านคน (จากเดิม 4.5 ล้านคน) และปีหน้าเหลือ 4.0 ล้านคนในปี (จากเดิม 7.0 ล้านคน) ปรับลดสมมติฐานจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยในปีนี้ลงเหลือ 27.5 ล้านคน (จากเดิม 28.5 ล้านคน) และปี 2567 ลงเหลือ 32 ล้านคน (จากเดิม 35 ล้านคน)
ขณะเดียวกัน AOT จะมีการปรับเพิ่ม PSC (Passenger Service Charges ) ซึ่งการปรับขึ้นค่า PSC สำหรับผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ โดยปรับจาก 700 บาทต่อคน เป็น 730 บาทต่อคน และค่า PSC สำหรับผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ ปรับจาก 100 บาทต่อคน เป็น 130 บาทต่อคน โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2567 เป็นต้นไป นั้นไม่กระทบกับประมาณการกําไรของ AOTเพราะบริษัทเปลี่ยนมารับรู้รายได้จากค่าบริการเป็นรายได้ PSC ในการปรับปรุงรายการทางบัญชี
ส่วนการลดค่านําเครื่องบินลงจอดสําหรับเส้นทางบินใหม่ๆ ประเด็นนี้จะเป็นบวกกับ AOT ถ้าหากสายการบินต่างๆ สามารถเปิดเส้นทางบินใหม่ๆ เพื่อเพิ่มจํานวนผู้โดยสาร และเที่ยวบินมาประเทศไทยเพื่อให้ได้ประโยชน์จากแรงจูงใจที่เกิดขึ้นจาก AOT
และประเด็นสุดท้ายไม่ต่ออายุมาตรการช่วยเหลือ ซึ่งผู้บริหารระบุอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มีการต่ออายุมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเหมือนกับในช่วงที่ COVID-19 ระบาดอีก "ยกเว้นมาตรการเดียวที่ช่วยเหลือ ได้แก่ การขยายเวลาการจ่ายค่าสัมปทานเป็นเวลาหกเดือนเพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว"
มุมมองการเติบโตจะชะลอตัวลดประมาณการกําไรปี 2567 ลง 16.4% และปี 2568 ลง 26.9% เพื่อสะท้อนถึงอัตรากําไรที่ต่ำกว่าที่คาดไว้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์