นโยบายเศรษฐกิจ"ผ่าน-หยุดชะงัก" ยุคนายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร”
ตลาดหุ้นไทยถึงเวลาฟื้น !! น่าจะเป็นวลีที่นักลงทุนไทยอยากจะให้เป็นจริงเร็วมากที่สุด หลังจากรัฐบาลยังย้ำอยู่กับกับนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีแต่โครงการแต่ไม่มีการดำเนินการจริงได้ซักที จนกลายเป็นสุญญากาศทางเศรษฐกิจที่ฉุดรั้งหุ้นไทย
เมื่อมีอุบัติเหตุทางการเมืองจากคดีการพิจารณาคุณสมบัตินายกฯ “เศรษฐา ทวีสิน” และครม. ยิ่งทำให้เกิดภาพส
ตามขั้นตอนหลังนายกฯ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ทางบริษัทหลัก (บล.)ทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มองจะเข้าสู่กระบวนการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี
จากการอ้างอิงสถิติในอดีต ลงมติเลือกนายกฯในสภาฯ หลังการถอดถอน
1.กรณีนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ (17ก.ย. 2551)หุ้นไทย Outperform เทียบกับ MSCI Asia ex Japan และS&P 500 โดยให้ผลตอบแทน Relative Return ทำจุดสูงสุด+6.03%และ +3.94% ใน 37 และ 22วัน หลังวันลงมติ
2.กรณีนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ(17 ธ.ค. 2551) หุ้นไทย Outperformเทียบกับ MSCI Asia ex Japan และ S&P500 โดยให้ผลตอบแทน Relative Return ทำจุดสูงสุด +11.77%และ +18.51% ใน 41และ 79 วันหลังวันลงมติ
ด้าน บล.เอเอสแอล โฟกัสที่ “นโยบายทางเศรษฐกิจ” ที่ต้องดำเนินการไม่ว่าจะเป็นการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ครั้งใหญ่ “ ปัญหายาเสพติด” การยกระดับ “ระบบสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกที่ ” และผลักดันนโยบาย “ไทยแลนด์ซอฟท์พาวเวอร์” ส่วนด้านโครงการดิจิทัลวอลเล็ตยังคงต้องการความคิดเห็นเพิ่มเติมซึ่งอําจกระทบกับ timeline ของโครงการแต่อย่างไรก็ดีเห็นความราบรื่นในการเปลี่ยนถ่ายรัฐบาลใหม่ แต่ยังมองเป็นบวกต่อกลุ่ม domestic play แนะนำทยอยสะสม CPALL, BJC ,CPAXT, ADVANC, MTC, TCAP, CBG และ OSP
สำหรับ บล.กรุงศรี ตลาดหุ้นรอการตั้งครม.ชุดใหม่และการแถลงนโยบายภายใน 15 วันหลังเข้าเฝ้าถวายสัตย์(คาดช่วง ก.ย. 2567)
โดยตลาดน่าจะจับตาความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระแสข่าวเบื้องต้นคาดยังเดินหน้าทั้ง นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่-ซอฟท์พาวเวอร์ และการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่
ส่วน "นโยบายที่ยังไม่ยืนยัน" ได้แก่ ดิจิทัลวอลเล็ต, Landbridge และ Entertainment Complex แต่เชื่อว่านโยบายภาพรวมที่มีพรรคเพื่อไทยนำจัดตั้ง ครม. ตามเดิม โดยส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มคล้ายเดิมแต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย โดยในส่วนดิจิทัลวอลเล็ตที่มีกระแสข่าวเปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบการกระตุ้นรูปแบบอื่น ซึ่งมองจิตวิทยาลบอ่อนๆ เนื่องจากตลาดไม่เคยรวมผลบวก ดิจิทัลวอลเล็ตในประมาณการอยู่แล้วทั้ง GDP และกำไรหุ้น Domestic
หากราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวอ่อนตัวลง เชิงกลยุทธ์ยังแนะนำทยอยสะสมโดยระยะสั้นแนะนำน่า จับตาแนวทางงบประมาณส่วนเพิ่มปี 2567 ราว 1.22 แสนล้านบาท มีโอกาสถูกใช้เร่งด่วนในรูปแบบอื่นๆ อาทิ การออกมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินสู่ระบบโดยตรง จะบวกต่อกลุ่ม Domestic อาทิ ค้าปลีก เช่าซื้อ
นโยบายด้านตลาดทุน THAIESG ทาง ก.ล.ต. ออกประกาศปรับปรุงเกณฑ์กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน(Thai ESG) รองรับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 30 ก.ค.2567 ที่เห็นชอบมาตรการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศมีผลใช้บังคับแล้วนับแต่16 ส.ค.2567
ส่วนนโยบายขับเคลื่อนตลาดทุนอีกด้าน กองทุนวายุภักษ์ มองเป็นนโยบายพรรคเพื่อไทยที่ยังเป็นแกนนำรัฐบาลชุดใหม่เชื่อว่ายังเป็นนโยบายหลักเดินหน้าต่อเนื่อง ดังนั้นคาดเม็ดเงิน Thai ESG เข้าหนุนตลาดช่วงที่เหลือของปีเฉลี่ย 6-7 พันล้านบาทต่อเดือน และน่าจะมีเม็ดเงินเพิ่มเติมกองทุนวายุภักษ์ 1-1.5 แสนล้านบาท
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ช่วงวงจร LTF ในปี 2012 -2013 ที่มีวัฎจักรเศรษฐกิจคล้ายกับปัจจุบันพบว่าทุกๆ เม็ดเงินใหม่1 หมื่นล้านบาทที่เข้าสู่ตลาดจะหนุน SET ราว20 -25 จุดใกล้เคียงผลการศึกษาของตลาดที่ประเมิน 25 -27 จุดแนวนโยบายที่จะลงทุนในหุ้นที่มี ESG เพิ่มขึ้น ช่วยให้หุ้นหลักดัชนี SETESG ที่มีมูลค่าหุ้นต่อมูลค่าตลาดของ SETESG มีโอกาส Outperform ในช่วงที่เหลือของปี2567 อาทิ PTT (10%), AOT (8.2%) ADVANC (7.3%) GULF (5.7%) CPALL (5.1%)
ธีมความคืบหน้า การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท สิ้นสุด 9 ส.ค. ในส่วนรายจ่ายประจำ 2.75 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายได้แล้ว 87.5% ส่วนฝั่งที่ตลาดให้น้ำหนัก คือ งบลงทุน 7.22 แสนล้านบาท ล่าสุดเบิกจ่ายได้แล้ว 45% เพิ่มขึ้นจาก สิ้นสุด ก.ค. 2567
หากมองยอดเบิกจ่ายเฉลี่ยต่อวัน จากที่เบิกจ่ายได้เร็ว มิ.ย. 2567 ที่ 0.37% แล้วชะลอเหลือ 0.18% ใน ก.ค. 2567 ช่วง 9 วันแรกของเดือน ส.ค. กลับมาเร่งขึ้นเป็น 0.29% ขณะที่ความชัดเจนการเมืองล่าสุดมองภาพการเบิกจ่ายช่วงที่เหลือของปีงบประมาณจะเร่งขึ้น มองบวกต่อหุ้นได้ประโยชน์หากงบรัฐฯเร่ง เช่น กลุ่มค้าปลีก CPALL ,CPAXT, BJCและ DOHOME กลุ่ม Digital Tech เช่น BE8, BBIK และกลุ่มรับเหมา อาทิ STEC