โควิด-19 ทุบกำลังซื้อซบเซา
(ชมคลิปข่าวด้านล่าง) โควิด-19 ทุบกำลังซื้อซบเซา
จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ขณะนี้มียอดติดเชื้อเฉียด 1 หมื่นคน/วัน ล่าสุด ศบค. ได้ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ 6 จังหวัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล ห้ามประชาชนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ออกนอกเคหสถานในเวลา 21.00-04.00 น. พร้อมกำหนดการปิด-เปิดกิจการ กิจกรรมต่างๆ อย่างน้อย 14 วัน ให้มีผลบังคับใช้วันที่ 12 ก.ค.
นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย สมชาย พรรัตนเจริญ ระบุ สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรการควบคุมสูงสุด โดยกำหนดเวลาเปิดปิดร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เปิดได้เฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธนาคารและสถาบันการเงิน ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ร้านอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสาร เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ประเมินว่าค้าปลีกจะได้รับผลกระทบไม่มากเพราะเป็นสินค้าจำเป็น ประกอบกับมีโครงการคนละครึ่งของภาครัฐที่เข้ามาช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ
อย่างไรก็ตามแม้กลุ่มค้าปลีกจะไม่ได้รับผลกระทบหนักจากการล็อกดาวน์ครั้งนี้ แต่ปัจจุบันกำลังซื้อของประชาชนก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีมาตรการของภาครัฐช่วย จะเห็นได้จากโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ที่ประชาชนจับจ่ายใช้สอยไม่มากนักเมื่อเทียบกับครั้งก่อนๆ รวมถึงโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่ประชาชนเข้าร่วมโครงการไม่ได้ตามเป้า สะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยประชาชนไม่มีกำลังซื้อ
สำหรับการกักตุนสินค้าขณะนี้ไม่มีปัญหาการกักตุนจนทำให้สินค้าขาดแคลน เนื่องจากประชาชนไม่มีกำลังซื้อ ร้านค้าปลีกค้าส่งจึงอยากระบายสินค้าออกไปให้เร็วที่สุด
พาณิชย์คุมเข้มราคาสินค้าช่วงล็อกดาวน์
ด้านอธิบดีกรมการค้าภายใน วัฒนศักย์ เสือเอี่ยม ระบุ กรมฯ ได้ประสานผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่งทั่วประเทศ ให้เตรียมพร้อมสต๊อกสินค้าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค ที่จำเป็นต่อการครองชีพให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และจากการหารือกับผู้ผลิตสินค้า พบว่าปริมาณสินค้ามีเพียงพออย่างแน่นอน ขอให้ประชาชนมั่นใจและไม่จำเป็นต้องกักตุน
นอกจากนี้ได้ออกตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ปริมาณและราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ หน้ากากอนามัย หน้ากากทางเลือก เจลแอลกอฮอล์ และสินค้าเวชภัณฑ์ต่างๆ ให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนและป้องปรามไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาส และต้องปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน รวมทั้งการตรวจสอบเครื่องชั่งน้ำหนักสินค้าให้มีความเที่ยงตรง
จากการตรวจสอบภาพรวม พบว่าขณะนี้สินค้ายังคงมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ซึ่งผู้ผลิตสินค้ายืนยันว่าสามารถขนส่งสินค้าให้กับผู้จำหน่ายได้ปกติ แม้ในช่วงนี้อาจจะมีประชาชนซื้อสินค้าในแต่ละครั้งมีปริมาณเพิ่มขึ้นบ้าง แต่โดยรวมแล้วไม่ได้มีผลกระทบ จึงขอให้ประชาชนไม่จำเป็นต้องกักตุนสินค้า
ทั้งนี้ หากพบเห็นว่ามีการกักตุนหรือฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าในราคาที่ไม่เป็นธรรม สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และหากตรวจสอบพบการกระทำผิดจะมีโทษตามมาตรา 29 แห่งพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ซึ่งมีโทษจำคุก 7 ปีปรับ 140,000 บาทหรือทั้งจำและปรับ
ทีมข่าวกรุงเทพธุรกิจบิซอินไซต์ รายงาน