ขยายสาขาร้านอาหารในเครือโคคา 100 แห่งทั่วโลก
“แม็งโกทรี” (Mango Tree) ร้านอาหารในเครือบริษัท โคคา โฮลดิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Coca Holding International Co., Ltd.) ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยชั้นนำของไทย เผยแผนการขยายธุรกิจ เตรียมเปิดร้านอาหารไทยใหม่กว่า 50 แห่งในหลากหลายทำเลทั่วโลก
หลังจากที่ได้เฉลิมฉลองเปิดตัว “แม็งโกทรี บิสโทร ฮากาตะ” (Mango Tree Bistro Hakata) ในเมืองฟูกุโอกะเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งเป็นร้านแมงโก้ทรีคอนเซปบิสโทรสาขาแรกในญี่ปุ่นและเป็นร้านอาหารไทยลำดับที่ 45 ของเครือฯ แม็งโกทรีก็มีแผนเตรียมขยายเพิ่มอีกเป็น 50 สาขาภายในสิ้นปี พ.ศ. 2562 นี้ และตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็นสองเท่าเป็น 100 สาขา ภายในปี พ.ศ. 2568
เครือแม็งโกทรี ประกอบด้วยแบรนด์ร้านอาหารที่หลากหลาย ตั้งแต่ “ภัตตาคารแม็งโกทรี” (Mango Tree restaurants) ที่ให้บริการอาหารเต็มรูปแบบ ไปจนถึง “แม็งโกทรี คาเฟ่” (Mango Tree Cafe) และ “แม็งโกทรี บิสโทร” Mango Tree Bistro ซึ่งเป็นบาร์และร้านอาหารไทยร่วมสมัยที่ให้บริการอาหารและเป็นแหล่งสังสรรที่มีชีวิตชีวา อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเครือฯ ส่วนใหญ่จะได้รับแรงหนุนจากแบรนด์ “แม็งโกทรี คิทเช่น” (Mango Tree Kitchen) และ “แม็งโกทรี แกร็บ แอนด์ โก” (Mango Tree Grab & Go) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การให้บริการอาหารนอกสถานที่ในพื้นที่ที่มีการเดินเท้าสูง รวมถึงศูนย์กลางการขนส่ง ความหลากหลายนี้ยังช่วยให้บริษัทสามารถขยายสู่ตลาดทุกกลุ่ม ตั้งแต่เมืองขนาดใหญ่ไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่เกิดขึ้นใหม่ทั่วโลก
แนวคิดร้านอาหารจานด่วนเพื่อตอบโจทย์ความสะดวกสบาย มุ่งเน้นไปที่เมนูอาหารจานเดียว อาทิ ผัดกระเพราเนื้อสับราดข้าวและไข่ดาว,ข้าวมันไก่, ผัดไทย ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเมนูที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย เหมาะสำหรับจำหน่ายในสนามบินและสถานีรถไฟ ร้านอาหารแบบนำกลับบ้านเหล่านี้ ให้บริการอาหารไทยที่ปรุงสดใหม่พร้อมกล่องสำหรับนักเดินทางที่สะดวกสบาย โดยสาขาที่เปิดให้บริการแล้ว ได้แก่ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ สถานีโตเกียว และอีก 5 แห่งในประเทศญี่ปุ่น
นายเทรเวอร์ แม็กเคนซี กรรมการผู้จัดการ แม็งโกทรี เวิลด์ไวด์ กล่าวว่า “แม็งโกทรีเป็นตัวแทนของอาหารไทยทั่วโลก ดังนั้น เราจึงมีวิสัยทัศน์ที่ดีเกี่ยวกับโอกาสในการเติบโต โดยคาดว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 40 ล้านคนที่จะหลั่งไหลเข้ามาประเทศไทยในปีนี้ ส่วนใหญ่จะกลับไปพร้อมความคิดถึงอาหารที่ขึ้นชื่อของประเทศไทย ซึ่งสิ่งนี้สร้างโอกาสที่ยอดเยี่ยมให้กับเรา ด้วยการนำเสนออาหารไทยต้นตำรับที่มีรสชาติเหมือนกับที่ทำในประเทศไทยให้กับพวกเขาเหล่านั้นนั่นเอง
“ปัจจุบันอาหารไทยไม่จำเป็นต้องเป็นมื้อพิเศษอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นอาหารสำหรับทุกวันที่สามารถเข้ากับชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเป็น ความสดใหม่ ไม่หนักท้องจนเกินไป มีกลิ่นที่หอมกรุ่น และยังเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าอาหารจานด่วนแบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับพนักงานออฟฟิศและผู้ที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ เราหวังว่า แบรนด์ร้านอาหารไทยชั้นนำของเราจะได้เสิร์ฟอาหารที่ดีให้กับทุกคนและทุกที่” นายเทรเวอร์กล่าว
จากผลสำรวจของสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association หรือ IATA) ระบุว่า จะมีผู้โดยสารเดินทางโดยเครื่องบินในปี พ.ศ. 2578 จำนวน 8.2 พันล้านคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 86% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2561 โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตเร็วที่สุด การขนส่งทางรถไฟในภูมิภาคก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยเฉพาะการเปิดตัวรถไฟความเร็วสูงสายใหม่ ๆ หลายประเทศในเอเชีย ดังนั้น แนวคิดของ “แม็งโกทรี คิทเช่น” และ “แม็งโกทรี แกร็บ แอนด์ โก” จะส่งมอบอาหารไทยที่แสนอร่อยและสะดวกสบายให้กับนักเดินทางทุกคนทั่วโลก ทั้งนี้ แม็งโกทรีได้รับความสนใจจากผู้เชี่ยวชาญศูนย์กลางการท่องเที่ยวระหว่างประเทศอย่างHMSHost, Lagadere และ SSP ซึ่งดำเนินกิจการหลายสาขาในสนามบินหลัก และศูนย์กลางการท่องเที่ยวทั่วเอเชียแปซิฟิก
นอกจากนั้น “แม็งโกทรี” ยังมีแผนยกระดับบาร์และร้านอาหารไทยสุดหรู เพื่อรองรับกลุ่มไฮเอนด์ในเมืองใหญ่ ๆ ได้แก่ “แม็งโกทรี กวางโจว” (Mango Tree Guangzhou) ตั้งอยู่ในศูนย์การเงิน CTF เมืองกวางโจว ประเทศจีน (Guangzhou CTF Finance Centre) บนอาคารสูง 530 เมตร ซึ่งได้รับรางวัลมิชลินเพลท (Michelin Plate) ในปีนี้ และ “แม็งโกทรี มุมไบ” (Mango Tree Mumbai) ประเทศอินเดีย ซึ่งได้รับเลือกให้เป็น "ร้านอาหารไทยที่ดีที่สุด" ของเมืองในงาน Times Food and Nightlife 2019 โดยจีนและอินเดียยังคงเป็นตลาดเป้าหมายหลักของบริษัท เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น รวมถึงได้ตั้งเป้าหมายขยายสาขาในทำเลศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญในภูมิภาคยุโรป และอยู่ในระหว่างเจรจาเพื่อขยายตลาดในตะวันออกกลาง ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดิอาระเบีย
แม็งโกทรีได้รับการยอมรับจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (Department of International Trade & Promotion หรือ DIPT) ของรัฐบาลไทย ซึ่งนับเป็นการตอกย้ำมาตรฐานอาหารไทยระดับโลกของ โดยเป็นผลจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลงาน พร้อมกันนั้นยังจัดให้มีทริปพ่อครัวทั่วโลกของเครือร้านอาหารแม็งโกทรีได้เดินทางมายังประเทศไทยเป็นประจำทุกปี เพื่อให้พวกเขาได้พบปะกับผู้ผลิตในท้องถิ่น และเรียนรู้แก่นแท้ของอาหารไทย โดยล่าสุดได้เดินทางไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ก่อนจะเปิดตัวเมนูใหม่ในทั่วโลกด้วยอาหารใต้ของไทย
ปัจจุบันแม็งโกทรีดำเนินงานใน 14 ประเทศ ซึ่งนับเป็นผู้ส่งออกอาหารไทยที่ใหญ่ที่สุดในโลก และด้วยแผนการขยายตัวอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ จะช่วยเปิดประสบการณ์ให้แก่นักชิมทั่วโลกได้รู้จักกับความเลิศรสของอาหารไทยทั้งรสชาติและกลิ่นอันหอมกรุ่นอย่างแท้จริง