Benz GLC ใหม่ เพิ่มแบตฯ โหมด EV วิ่งไกลสุด 120 กม. เติมออปชั่น ลุยออฟโรด
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัว จีแอลซี ใหม่ “new GLC” เจเนอเรชั่น 3 ประเดิมส่ง Merceded-Benz GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic บุกตลาด มาพร้อมระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด เจเนอเรชั่น 4 ชาร์จ 1 ครั้ง ขับขี่ไกลสุด 120 กิโลเมตร
เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลซี (Mercedes-Benz GLC) เป็นอีก 1 รุ่นที่สำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในกลุ่ม เอสยูวี โดยมีคู่แข่งหลักในตลาดคือ บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์3
ก่อนหน้านี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำตลาดทั้งเครื่องยนต์ดีเซล และปลั๊ก-อิน ไฮบริด ส่วนรุ่นใหม่ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม เริ่มต้นด้วยรุ่นปลั๊ก-อิน ไฮบริด คือ GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic
จริงๆ แล้วในเวทีโลก GLC เปิดตัวเมื่อเดือน มิถุนายน 2565 ถือว่าครั้งนี้ จีแอลซี ใหม่ มาไทยช้ากว่าปกติ ก็คงเป็นเรื่องของความเหมาะสมหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องของโควิด-19 หรือ ปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนที่เกิดขึ้นทั่วโลกก่อนหน้านี้
อีกทั้งครั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการนำเข้า (CBU) แต่เปิดตัวด้วยรุ่นประกอบในประเทศ (CKD) ทันที จากสายการผลิตโรงงานธนบุรี ประกอบรถยนต์ ย่านสำโรง สมุทรปราการ
รูปทรงโดยรวม หลายคนอาจจะมองว่าเปลี่ยนไม่มาก แต่จริงๆ แล้วเปลี่ยน แต่ก็เป็นไปได้ที่ว่าจะเห็นความคล้ายกัน เพราะการออกแบบรถแต่ละครั้งก็ไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่มีความเชื่อมต่อกัน และอะไรที่เป็น core concept ก็ต้องเก็บเอาไว้
อย่างน้อยที่สุด GLC โฉมใหม่ มีความยาวเพิ่มขึ้นประมาณ 6 ซม. ความกว้างกับความสูงใกล้เคียงกับโฉมเดิม
ด้านหน้าลดความยาวของกระจังหน้า เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้โคมไฟหน้า และครั้งนี้ โคมไฟหน้า ก็หันมาใช้แบบ digital light ที่มีความละเอียดข้างละ 1.3 ล้านพิกเซล ทำให้มีความละเอียดอ่อนในการส่งลำแสงมากขึ้น
รู้ว่าต้องส่องไปตรงไหนเพื่อทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่ และเลี่ยงตรงไหน เพื่อลดการรบกวนผู้อื่น
หรือฝากระโปรงด้านหน้าที่เพิ่มเส้นสาย และมีมิติมากขึ้น ไฟท้ายปลายเรียว ร่วมสมัยกับรุ่นอื่นๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์
ขณะที่ภายในห้องโดยสาร จอกลางขนาดใหญ่ ดึงอารมณ์มาจากรุ่นใหญ่อย่าง เอส-คลาส และรุ่นพี่ ซี-คลาส พร้อมฟังก์ชั่นหลายอย่าง ทั้ง ฟิงเกอร์ พรินท์ ระบบ MBUX7
นอกจากนี้ยังเอาใจคนรักสุขสภาพกับระบบปรับอากาศ เฮปา ที่มีอยู่ใน EQS เรือธงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV)
ระบบเสียง Burmester แต่ครั้งนี้พิเศษเพิ่มขึ้นกับระบบ dolby atmos ที่ให้เสียงมีมิติล้ำลึก และตัดเสียงอื่นๆ ออกไป ด้วยการวัดเสียงรบกวน และส่งคลื่นเสียงไปหักล้าง ก่อนปล่อยเสียงที่ต้องการออกไป
มาว่ากันที่หัวใจหลักของขุมพลัง เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดเจเนอเรชั่นที่ 4 ที่ยกระดับการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำให้มีสมรรถนะยิ่งขึ้น
รวมถึงการใช้แบตเตอรี่แรงดันสูงที่มีความจุ 31.2 kWh ซึ่งมากกว่ารุ่นเดิมที่อยุ่ที่ 24.5 kWh ทำให้มันสามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้ไกลขึ้นกว่าเดิมซึ่งทำได้ 49 กิโลเมตร
โดย GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic ขับขี่ได้ไกลสุด 120 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP
ด้านการชาร์จรองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าทั้ง
- DC Charge สูงสุด 60 kWh
- AC Charge สูงสุด 11 kWh
โดยการชาร์จ DC 10-80% ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
- กำลังสูงสุด 310 แรงม้า
- แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร
- อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 6.7 วินาที
- ความเร็วสูงสุด 218 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนการขับขี่ในรูปแบบออฟโรด ยังเพิ่มเติมออปชั่นเด่นมาให้ นอกจากระบบกล้องรอบคันแล้วก็คือ transparetn bonnet ที่ใช้การจำลองภาพที่ได้จากกล้อง แสดงให้เห็นวัตถุที่เข้ามาใต้ห้องเครื่อง เมื่อรถเคลื่อนที่ไป ทำให้ผู้ขับรู้ว่าตำแหน่งของสิ่งกีดขวางอยู่ตรงไหนแล้ว แม้จะมองไม่เห็น
และไม่มีกล้องอยู่ใต้ท้องรถก็ตามสำหรับราคาของ GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic อยู่ที่ 4,180,000 บาท